ความหวังของประเทศไทย เจริญตามรอยพระบาท ร.9

ความหวังของประเทศไทย  เจริญตามรอยพระบาท ร.9

ทุกวันนี้ เราอยู่ท่ามกลางความฝันผวนของธรรมชาติ การเมือง สังคม ภายใต้ระบบเศรษฐกิจนิยมที่ทําให้ช่องว่างทางสังคมถ่าง ออกจากกันยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

 ระหว่างคนรวยที่มีโอกาส ขณะที่คนจนซึ่งด้อยโอกาส ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพของสังคมคนรวยที่กําลังเป็นอยู่ใน แทบทุกตารางนิ้วของโลกทุกวันนี้ แล้วคนรวยก็ใช้กลยุทธ์ เงิน แผนซับซ้อน ชี้นํา แบ่งแยกเพื่อแย่งชิงอํานาจขึ้นปกครองบ้านเมือง 

มีใครสักกี่คนสนใจที่จะหาคําตอบกันอย่างจริงจังว่า เหตุใดประเทศไทยจึงรอดพ้นจากการตกเป็นประเทศราชในยุคล่าอาณานิคม? ทําไมคณะราษฏรจึงต้องล้มล้างระบอบปกครองเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2475? ทําไม จอมพลสฤษฎ์ ธนะรัตน์ จึงปฏิวัติล้มรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม? และให้การสนับสนุนสหรัฐเพื่อเข้าเกี่ยวข้องกับสงครามเวียดนาม? ทําไมรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ต้องเริ่มต้น ระบบเงินผัน ต้องขับไล่ฐานทัพสหรัฐ?

ทําไมประเทศไทยจึงมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญจํานวนมาก? ทําไมแต่ละรัฐบาลจึงเผชิญ ปัญหาล้มลุกคลุกคลานตลอดมา? ทําไมแต่ละพรรคการเมืองจึงมีนโยบายและพฤติกรรมอย่างที่เป็นมา ทําไมคนในชุมชนเมืองจึงนิยมพรรค การเมืองหนึ่ง และประชาชนในชนบทนิคมในอีกพรรคหนึ่ง? 

ทําไมราษฎรส่วนใหญ่ในชนบทจึงยากจน? ทําไมประชาชนระดับรากหญ้า จํานวนมากจึงมักเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล? ทําไมสภาพการจราจรใช้รถใช้ถนนในกรุงเทพมหานครและหัวเมืองใหญ่ทั้งหลายจึงไร้ระเบียบ วินัยสับสนกันอย่างทุกวันนี้ ทําไมละครโทรทัศน์จึงวนเวียนอยู่ในวงกลมซํ้าซากที่ถูกมองว่าเป็นละครนํ้าเน่าแต่เป็นที่นิยมของคนระดับล่างส่วนใหญ่? 

ทําไมทหารจึงต้องปฏิวัติ แล้วออกกฎหมายนิรโทษกรรมการปฏิวัตินั้นๆ? และทําไม สื่อมวลชนไทยจึงมีรูปแบบการนําเสนอข่าวและ พฤติกรรมอย่างที่เป็นอยู่นี้? ฯลฯ แน่นอน ล้วนอยู่ในกฎของหลักธรรม อิทัปปัจยตา ของสมเด็จพระโคดมสัมมาสัมพุทโธพระองค์นั้น ซึ่งแปลใจความอย่างกระชับว่า “...ผลย่อมมีเหตุเป็นแดนเกิด...” 

ทั้งหมดนี้ ล้วนไม่พ้นไปจากสายพระเนตรของพระเจ้าอยู่หัว ร.9 พระองค์ทรงสงวนคําพูด แต่ทรงมุ่งมองไปเป็นมุมกว้างทั่วแผ่นดินไทย และเข้าไปจับจ้องถึงต้นเหตุแห่งปัญหา แล้วทรงมีพระราชดําริเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น ลงมือทํานั้น ทําอย่างต่อเนื่อง 

นี่คือเหตุผลง่ายๆ ว่า ทําไม พระเจ้าอยู่หัว ร.9 จึงเป็นที่เคารพรักใคร่ของปวงชนชาวไทยที่มีหัวใจกตัญญู ทั้งเป็นที่ยกย่องของชาวโลกเพราะใต้หล้านี้ ไม่มีกษัตริย์พระองค์ไหนทรงงานเพื่อประชาชนของพระองค์อย่างพระมหากษัตริย์ของชาวไทยพระองค์นี้ 

พระองค์ทรงเติบโตขึ้นมาจากการบ่มเพาะสอนสั่งอย่างยอดเยี่ยมติดดินจากสมเด็จย่า ผู้มาจากสามัญชนที่ครองชีวิตอย่างเรียบง่าย ช่วยเหลือพระองค์เองตลอดมา จึงเป็นสมเด็จแม่และสมเด็จย่าผู้ทรงประเสริฐยิ่งของเราชาวไทย

เมื่อพระเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์อย่างไม่เคยมี ความคาดหมายใดๆ และทรงประกาศขึ้นครองแผ่นดินด้วยหลัก “ทศพิธราชธรรมของพระพุทธองค์” ทั้งทรงเข้าถึงพระธรรมอันเป็นสัจธรรม ความจริงลํ้าเลิศของพระบรมศาสดานี้และทรงอัญเชิญไปสู่การปฏิบัติด้วยพระปรีชาชาญ มองเห็นถึงโครงสร้างของบ้านเมือง ทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ การเมือง เศรษฐกิจ กระแสโลก รวมขึ้นมาเป็นปัญหาของบ้านเมืองที่เดินมาอย่างนี้และเป็นอยู่อย่างนี้ 

ทรงมุ่งแก้ปัญหาของ สังคมบ้านเมืองอย่างสุขุมเป็นขั้นตอน อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ขณะเดียวกันก็เข้าถึงวิถีชีวิตวัฒนธรรมของมวลชนแต่ละพื้นที่ ตั้งแต่บนยอด ดอย เชิงดอย ชนบท เมือง ทุกหย่อมหญ้า ไม่แบ่งแยกเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ ทรงปราดเปรื่องยิ่งในทุกด้าน โดยเฉพาะเรื่องของดิน-นํ้า-อากาศ ทรง ตรัสได้หลายภาษา ครั้งหนึ่งทรงตอบผู้สื่อข่าวต่างประเทศระหว่างที่ประเทศไทยยังมีความขัดแย้งทางอุดมการณ์การปกครองว่า “...ข้าพเจ้า มิได้ต่อสู้กับกลุ่มคนชนใด แต่ข้าพเจ้ากําลังต่อสู้กับความยากจนของผู้คน...” 

ทรงทําตลอดเวลา ทรงทุ่มเทชีวิตของพระองค์เพื่อแก้ไขปัญหา ทั้งหลายเหล่านั้น ตราบจนวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ กล่าวสรุปคือ พระองค์ทรงเข้าถึงปัญหา และเข้าไปแก้ไขถึงต้นเหตุแห่งปัญหาอย่าง ถ่องแท้ ขอสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ตราบชั่วนิรันดร์กาล ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ 

นี่คือเหตุผลที่เราคนไทยทั้งหลาย ต้องตามรอยพระบาทฯ รู้จักคิดด้วยสติปัญญาความพอเพียงคือทางเลือกที่จะนําชีวิตให้ยืนอยู่ ได้ด้วยตนเอง และเจริญเติบโตต่อไปอย่างไม่เบียดเบียนใคร แต่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มองปัญหาอย่างเข้าถึงปัญหา แล้วแก้ไขปัญหาด้วยทางเลือก อย่างมีตรรกะถูกทางให้กับตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคมบ้านเมือง โดยหวังว่าเราคนไทยชาติไทย ในอนาคตข้างหน้านี้ เราจะมีรัฐบาลที่ ซื่อสัตย์ เจริญตามรอยพระบาท ร.9 ปกครองบ้านเมืองด้วยสติปัญญาอย่างแท้จริงเสียที