เมื่อคนอยากเป็นม้า...ยูนิคอร์น

เมื่อคนอยากเป็นม้า...ยูนิคอร์น

เมื่อคนอยากเป็นม้า...ยูนิคอร์น

นักประวัติศาสตร์เมื่อ 2 พันกว่าปีมาแล้ว ได้บันทึกเรื่องราวของสัตว์ในเทพนิยาย ชนิดหนึ่ง ลำตัวเป็นม้าสีขาว มีเขาเพียวเขาเดียว ที่งอกออกมาจากบริเวณหน้าผาก สัตว์ชนิดนี้มีชื่อเรียกว่า “ยูนิคอร์น” (Unicorn)

คำว่าUnicorn หมายถึง สัตว์ที่มีเพียงเขาเดียวนั่นเอง หลังจากเวลาได้ผ่านไปกว่า2,000 ปี วันนี้ ยูนิคอร์น ถูกนำมาใช้ในอีกความหมายหนึ่ง คือหมายถึง “สตาร์ทอัพ” ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เริ่มต้นจากแทบไม่มีอะไรเลย แต่เติบโตอย่างรวดเร็ว จนมีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านเหรียญ

ทุกวันนี้ เด็กรุ่นใหม่อยากสตาร์อัพกันทั้งนั้น ทุกคนต่างไฝ่ฝันว่าวันหนึ่งจะได้เป็น ยูนิคอร์น แต่วันที่คุณ Aileen Lee เธอนำคำว่า “ยูนิคอร์น” มาใช้ในความหมายนี้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2013 นั้น เธอบอกว่า โอกาสที่สตาร์ทอัพ จะสร้างมูลค่าได้ถึง 1 พันล้านเหรียญ เกิดขึ้นได้ยากมาก ถ้าทำได้ ขอเรียกว่า “ยูนิคอร์น” ค่ะ

กระนั้นก็ตาม ยูนิคอร์น ก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นยุคสมัยของ“เทคโนโลยีตีแตก” (http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/641772) ซึ่งในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เรา ก็มี “ยูนิคอร์น” ที่ได้ยินกันบ่อยๆคือ Garena, GrabTaxi, และ Lazada เป็นต้น

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2017 สำนักข่าว บีบีซี ได้เผยแพร่งานวิจัยว่า คนหนุ่มสาวที่เก่งฉกาจ สามารถสร้างยูนิคอร์นได้สำเร็จนั้น เป็นใครมาจากไหนกันบ้าง ได้รับการฝึกอบรมมาจากสถาบันใด เขาได้จัดอันดับไว้กว่า 20 แห่ง แต่ผมจะกล่าวถึงเพียง Top Ten เท่านั้น

Stanford U 2. Harvard U 3. U of California 4. Indian Institute of Technology 5. MIT 6. U. Pennsylvania 7. Oxford 8. Tel Aviv U 9. Cornell U และ 10. USC

สำหรับ 1, 2 และ 3คงไม่ต้องพรรณามากนัก ที่ผมอยากตั้งข้อสังเกตคือ เบอร์ 4 และเบอร์ 10เพราะสถาบันเทคโนโลยีแห่งอินเดียอันดับสูงกว่า MIT ด้วยซ้ำไป ส่วนประเทศเล็กๆ ที่เผชิญความยากลำบากทางธรรมชาติอย่างอิสราเอล สถาบัน Tel Aviv กลับได้อันดับ 8 ไล่ตาม Oxford มาติดๆ อย่างนี้ต้องยกย่องครับ

ผมสรุปได้อย่างหนึ่งว่า ชีวิตที่ต้องต่อสู้อย่างยิ่งยวดนั้น จะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนเราไม่ยอมแพ้ และต้องแสวงหาความสำเร็จให้ได้ และทำให้ผมอดถามไม่ได้ว่า เราคนไทย สบายกันมากเกินไปและนานเกินไป หรือเปล่านะ

ส่วน Stanford, Harvard, MIT, หรือOxfordใครๆก็คาดหวังอยู่แล้ว แต่ผมพยายามหาเหตุผลว่าทำไม และผมก็ได้คำตอบของผมเองว่า เป็นเพราะ “กฏแห่งการดึงดูด” หรือ “Law of Attraction

เพราะคนที่สมัครเรียนที่เหล่านี้ ล้วนเป็น “ครีม” จากทั่วโลก ส่วนโปรเฟสเซอร์ ก็ “สุดยอด” จากทั่วโลกเช่นกัน เมื่อเด็กเก่งที่สุด แย่งกันสมัครเรียนที่นี่ และอาจารย์เก่งที่สุด ก็อยากมาสอนที่นี่ “เก่ง เจอ เก่ง” มันก็ต้องออกมาเป็น “ซูเปอร์เก่ง” เท่านั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย

แม้เราจะได้ยินเรื่องราวของ คนที่ประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทางธุรกิจอย่าง บิล เกตส์ สตีฟ จ็อบส์ มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก ฯลฯ แต่กลับเรียนไม่จบปริญญาตรี จากสถาบันเหล่านี้ ก็อย่าลืมว่า พวกนี้เขาเก่งและได้รับคัดเลือกให้เข้าไปเรียนแล้วทั้งนั้น เขาเพียง “เลือก” ที่จะไม่เรียนต่อ เท่านั้นเอง

ซึ่งต่อมาทั้ง Stanford และ Harvardฯลฯ ต่างมอบปริญญาเอก กิตติมศักดิ์ให้แก่ ศิษย์เก่าที่เรียนไม่จบ ที่กล่าวถึง ทั้งนั้นแหละครับ

ถ้าผมจะหาข้อสรุปจากเรื่องราวเหล่านี้ เพื่อให้ใกล้ชีวิตการทำงานมากขึ้น ผมก็อยากจะกล่าวว่า คนเราทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “คนเก่ง” ต่างก็อยากทำงานกับคนเก่ง ดังนั้นองค์กรที่ขาดคนเก่ง จะไม่สามารถดึงดูด ให้คนเก่งเข้าไปร่วมงานได้มากนัก และองค์กรก็มีแนวโน้ม ที่จะถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง

องค์กรไทย ไม่ว่าจะเป็นราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือ เอกชน จึงจำเป็นต้องรู้ร้อนรู้หนาว และทบทวนอย่างจริงจังว่า คนที่มีอยู่ในวันนี้ มีความเก่ง ความพร้อม มากเพียงใด ถ้าคำตอบคือน้อยมาก ก็ต้องเร่งรีบชักชวนคนเก่งเข้ามา

ช่วงแรก อาจทำได้ยาก เพราะคนเก่งคงอยากไปที่อื่นที่ดูดีกว่า แต่ถ้าเริ่มต้นได้สักจำนวนหนึ่ง แล้วให้โอกาสพวกเขา ให้งานที่ท้าทายและสนับสนุนอย่างเต็มที่ ให้พิสูจน์ความเก่ง เมื่อผลงานเริ่มปรากฏ การสรรหาคนเก่งในรอบต่อๆไปก็จะทำได้ง่ายขึ้น

แต่ถ้าเรายังมะงุมมะงาหรา อยู่กับระบบเก่าๆ ที่แสนจะคร่ำครึ ระบบที่บั่นทอนทั้งคนทำงานและองค์กร เช่นระบบพรรคพวก ระบบซื้อตำแหน่ง อย่างนี้ก็รอวันหมดสภาพ นับถอยหลังได้เลย

เอกชนน่ะ ผมไม่ห่วงเขาหรอก เพราะเขามีเจ้าของ ทั้งผู้ถือหุ้นรายใหญ่และรายย่อย เขาต้องแข่งขันกันหาคนเก่งอยู่แล้ว แต่ราชการและรัฐวิสาหกิจ มากกว่า ที่ใครๆ ก็ (ยัง) เป็นห่วง

ผมเลยขอฝากไปยัง คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ ว่า แม้ต้องปฏิรูปหลายอย่าง แต่อย่างหนึ่งที่ต้องกำจัดให้ได้ ก็คือ “การซื้อตำแหน่ง” เพราะเรื่องนี้นำไปสู่ปัญหาอื่นอีกหลากหลาย คนเก่งจริงๆ เขาไม่ยอมซื้อตำแหน่งกันหรอกครับ ถ้าองค์กรมีคนที่ได้ตำแหน่งด้วยการ “ซื้อ” เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้ว “Law of Attraction” มันจะดึงดูดคนแบบไหน ให้เดินตามรอยเข้ามาเล่าครับ?...

กลับมาที่ “ม้าเขาเดียว” อีกครั้ง ตำนานจีนบอกว่ายูนิคอร์น เป็นสัตว์สุภาพ รักสงบ แต่ ตำนานยุโรป บอกว่าเป็นสัตว์ดุร้าย รักสันโดษ วิ่งเร็วมาก และจับได้ยาก คนที่จะจับยูนิคอร์นได้ ต้องเป็นสาวพรหมจรรย์ เท่านั้น...ยูนิคอร์นจะวิ่งมาซบเธออย่างง่ายดาย

ขี้หลีเหมือนกันนะ ยูนิคอร์นของเราเนี่ย ตำนานเล่าต่อว่า เมื่อเจ้ายูนิคอร์น ถูกล่อให้มาสงบอยู่กับสาวพรหมจรรย์ อย่างง่ายดายแล้ว คนร้ายก็ลอบเข้ามาตัดเขาของมันออกไป เมื่อถูกตัดเขา ยูนิคอร์นก็อยู่ไม่ได้และเสียชีวิตในที่สุด เรียกว่าจบลงง่ายๆแค่นี้เอง

เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ยูนิคอร์น สมัยใหม่ ที่อุตส่าห์ทำสตาร์ทอัพ จนสร้างมูลค่าได้ 1 พันล้านเหรียญ ก็จงตระหนักไว้และรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี

อย่าพลาดท่าง่ายๆ ด้วยเหตุแห่งพรหมจรรย์...ก็แล้วกัน...นะนะ