'ความหวัง' กับระบบยุติธรรมที่เหมือนจะไม่ยุติธรรม

'ความหวัง' กับระบบยุติธรรมที่เหมือนจะไม่ยุติธรรม

เวลานี้บ้านเมืองภายหลังการมีรัฐธรรมนูญใหม่ เชื่อว่าประชาชนคาดหวังอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงในทุกด้านของสังคม

 แต่เรื่องใหญ่ที่พูดคุยถกเถียงกันมานานแม้ว่าจะรู้ดีว่า “คำตอบ” หรือ”รากเหง้าแห่งปัญหาอยู่ที่ใด” แต่คนที่มีอำนาจหรืออยู่ในข่ายที่จะทำให้ปัญหานั้นสิ้นซากไปกลับขาด “ความกล้าหาญ” ที่จะดำเนินการ หรือทำแต่ไม่สุดทาง ทำแบบเสียมิได้ก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่หลายกรณี จึงเป็นสิ่งที่ต้องป่าวร้องให้รับรู้ว่า “ความกล้าหาญ” ถ้ามีให้ใช้ให้เต็มที่ เพราะรัฐธรรมนูญเองรองรับผู้ที่กระทำความดีหรือความถูกต้อง ไม่ปล่อยให้อ้างว้างโดดเดี่ยวหรืออยู่ในอันตราย เพราะเข้าใจตรงกันว่าที่ผ่านๆ มา มีความยำเกรงก็เพราะด้วยเหตุทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อเรามีมาตรการรองรับทั้งกำหนดให้เป็นเรื่องของรัฐต้องมีหน้าที่คุ้มครองดูแลคนดี ถ้าแม้นว่ารัฐไม่ทำหรือทำแบบสุกเอาเผากินต้องถูกลงโทษแล้ว ยังมีบทบัญญัติคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชนอย่างกว้างขวาง ผู้คนที่ไม่เข้าใจหรือที่ยังกล้าๆ กลัวๆ ก็อาจทึกทักเอาว่าเดี๋ยวคงเหมือนอีหรอบเดิม ขอให้ความมั่นใจว่า กฎหมายและกรรมวิธีต่างๆ ที่จะรองรับให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ (เป็นรัฐธรรมนูญ “กินได้” อย่างที่เคยประโคมข่าวให้รับรู้กันตั้งแต่ทำประชามติ) จะทยอยออกมาและจะเป็นเครื่องมือในการปรับเปลี่ยนสังคมของเราไปในทางที่ดีขึ้นในวันข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขียนเกริ่นนำมาเป็นเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ แต่วันนี้มีหลายเรื่องที่เป็นเรื่องในอดีตที่ผ่านมาทั้งคดีความค้างเก่า และพฤติกรรมของคนจำนวนหนึ่งที่ยังไม่พัฒนาพฤตินิสัยหรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า”สันดานดิบ” ให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง ยังมีคนในสังคมจำนวนมากที่คุ้นชินกับ “การอวดเบ่ง” ทำตัว “กร่าง” ต้องการสิทธิพิเศษทั้งที่ไม่ใช่คนพิเศษ หรือ ใช้ยศตำแหน่งแสวงประโยชน์เบียดบังเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ขอให้ยุติการกระทำที่อาจเป็นเพศภัยกับตัวท่านเอง จึงจำเป็นต้องทบทวนและย้ำเตือนให้ผู้เกี่ยวข้องในวงงานยุติธรรมทั้งระบบได้ตระหนักว่าวันนี้ เมืองไทยไม่ใช่บ้านเมืองในช่วงก่อนการรัฐประหารหรือเป็นสังคมแบบสุกเอาเผากินเหมือนที่ผ่านๆ มาอีกต่อไป เพราะสิ่งที่เราเรียกร้องให้เกิดปรากฏการณ์ “พลเมืองเข้มแข็ง” กำลังเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า วันนี้ใครทำอะไรไม่เข้าท่าหรือไปละเมิดสิทธิเสรีภาพคนอื่น ยากจะรอดพ้นการรับรู้ของคนส่วนใหญ่ ขาดอยู่แต่คนที่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมายหรือที่เกี่ยวข้องยังไม่ปรับตัว หรือทั้งที่รู้แต่อาจ “เกียร์ว่างหรือเกียร์ถอย” เพราะเข้าใจผิดว่าเดี่ยวเลือกตั้งมันคงกลับไปเหมือนอย่างเก่า ขอย้ำว่าท่านกำลังคิดผิดและเป็นการคิดที่ทำลายตัวท่านเอง

กรณี “คดีทายาทกระทิงแดง” ที่เรื่องขับรถชนคนตาย กลายเป็นเรื่องใหญ่โตถึงขนาด “เป็นการส่งผู้ร้ายข้ามแดน” ไม่อยากไปซ้ำเติมใครหรืออะไรว่า มีส่วนทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่ถือว่าเป็น “บทเรียน” และต้องถือเป็นกรณีตัวอย่างที่ชัดเจนว่า วันนี้ใครจะเด่นดัง ถ้าทำผิดก็ไม่พ้นเงื้อมมือของความยุติธรรมที่ทุกคนเรียกหาได้ แต่อย่างที่บอกแล้วว่า คราวนี้หากเดินกันไม่สุดทางที่ควรจะเป็น คนที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ ยิ่งเรื่องอยู่ในความสนใจของคนในสังคมทั้งประเทศ ถือเป็นเรื่องยากที่ใครจะใส่เกียร์ว่างหรือเกียร์ถอยอย่างที่พูดถึงได้ และเรื่องนี้ไม่ใช่เฉพาะคนที่ถูกตามล่าตัวจะเดือดร้อน ครอบครัวเขาและคนที่อยู่แวดล้อมให้การสนับสนุนล้วนแต่จะเดือดร้อนด้วย ไม่ต้องเถียงเลยคือ “ความทุกข์ใจที่ไม่ว่าใครมีญาติพี่น้องต้องคดีคงไม่มีใครยิ้มได้สบายใจ เจอหน้าพบปะผู้คนก็คงไม่น่าจะมีความสุขเท่าใด” ที่เดือดร้อนตั้งแต่เกิดคดีใหม่ๆ ก็คือตำรวจด้วยกันเองที่ช่างกล้าขนาดเปลี่ยนตัวผู้ต้องหา ผลที่เกิดขึ้นกระทบต่อหน้าที่ทางราชการอย่างไรไปตามข่าวเก่าๆ ดูคงจะเห็นภาพ เรื่องทำนองนี้ในอนาคต “คดีขาดอายุความอยู่ในมือใคร” จะอ้างอะไรก็ขว้างงูไม่พ้นคอ โทษานุโทษคงไม่ใช่ตีมือหรือตบบ่าให้แล้วก็แล้วกันไป แต่น่าจะแรงไม่แพ้คดีที่กำลังจะมีตัวอย่างให้เห็นกันต่อๆ ไป ถ้าใครไม่เชื่อจะทำตัวเหมือนเมื่อก่อน คิดว่าเวลาผ่านไปคนคงลืม คนอาจลืมแต่ระบบที่วางไว้ใครลืมก็รับกรรมไปเต็มๆ

ผมขอย้อนไปเรื่องบทความ “ฟิมล์กรองแสงรถยนต์” ที่เขียนในช่วงที่รัฐบาลโดนชยันโตเกี่ยวกับมาตรการป้องกันอุบัติภัยทางถนนเข้าอย่างจัง ทำให้แฟนคลับพากันท้อถอยว่า เรื่องนี้แม้จะดีแต่รัฐบาลคงไม่ซื้อความคิด จะมายืนยันว่าผมเองกับผู้ที่เห็นด้วยคงไม่ย่อท้อและไม่เสียขวัญ รัฐบาลเองก็ต้อง “กล้า” ที่จะทำในสิ่งที่สมควรเพราะเรื่องนี้ถ้าลงมือทำจะเยียวยากันอย่างไรก็ทำได้ตามสมควร แต่ผลแห่งการ “ลอกฟิมล์ดำรถยนต์” เชื่อได้ว่าจะลอกเอาสันดานดิบแห่งความมักง่าย เห็นแก่ตัว และความไร้มารยาทในการขับขี่ยวดยาน กลับมาเป็นการสร้างเสริมวินัยลดอุบัติเหตุและอาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องได้อย่างทันตาเห็น

ขอย้ำว่าที่เขียนมานี้ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันหรือมายืนยันว่ารัฐธรรมนูญที่เพิ่งประกาศใช้นี้เป็น “ยาวิเศษครอบจักรวาลรักษาได้ทุกโรคทุกเรื่อง” แต่มาตรการและสิ่งที่จะตามมา “พลเมือง” อย่างเราๆ ท่านๆ ต้องร่วมมือกัน ในอนาคตรัฐธรรมนูญส่งเสริมสนับสนุนให้ท่านรวมตัวกันคุ้มครองสิทธิอันพึงมีพึงได้ในกรอบของกฎหมาย ท่านต้องหาทางทำให้การผนึกกำลังของท่านมีพลังที่แข็งแกร่ง มิใช่รวมกันเพื่อปกป้องผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มพวก แต่ความแข็งแกร่งของพวกเราถ้าพัฒนาขึ้นไปได้จะไกลกว่าการตั้งเป็น “พรรคการเมือง” เพราะหากได้รับการยอมรับก็จะมีอำนาจในการกำหนดบทบาท ทิศทางการเดินไปข้างหน้าของประเทศด้วยหลากหลายวิธี นี่คือสิ่งที่จะเกิดขี้นได้จริงแต่พวกเราต้องปรับตัว อย่าลัดคิว อย่ามักง่าย อย่าเห็นแก่ได้ โลกเปลี่ยนแล้ว ถ้าท่านทั่งหลายยังคิดว่าจะอยู่แบบ