ถ้ามะกันใช้ pre-emptive strike กับเกาหลีเหนือ...

ถ้ามะกันใช้ pre-emptive strike กับเกาหลีเหนือ...

สงครามรอบใหม่เกิดแน่!

เป็นอันชัดขึ้นแล้วว่าอเมริกาภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ จะเล่นแรงกับเกาหลีเหนือ ถึงขั้นที่ประกาศว่าหากจำเป็น จะต้องใช้กำลังกันก็จะใช้ เพื่อแสดงให้คิมจองอึนเห็นว่าจะมา เล่นลีลากับผู้นำคนใหม่แนวลูกทุ่งคนนี้ไม่ได้

คำว่า pre-emptive strike ถูกนำมาใช้โดยรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ของสหรัฐฯ คือเร็กซ์ ทีเลอร์สัน ที่ไปเยือนเกาหลีใต้เพื่อส่งสัญญาณถึงเกาหลีเหนือ ว่าหากจำเป็นสหรัฐฯก็พร้อมจะ “โจมตีคุณก่อนที่คุณจะโจมตีฉัน”

พร้อมกับสำทับด้วยจุดยืนใหม่ที่ว่า นโยบายความอดทนทางยุทธศาสตร์ หรือ The policy of strategic patience ที่เคยเป็นแนวทางของอดีตประธานาธิบดีโอบามามา 8 เต็มก่อนหน้านี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว

พูดภาษาชาวบ้านคือ ความอดทนสิ้นสุดลงแล้ว

ทีเลอร์สันบอกว่าถ้าเกาหลีเหนือไม่ยุติการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเจรจาเพื่อหาทางลดความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีอีกต่อไป

ถือว่าเป็นเงื่อนไขของวอชิงตันใหม่ที่แข็งกร้าวกว่าเดิม เพื่อกดดันเปียงยางให้ต้องยอมเจรจาโดยไม่มีเงื่อนไข

ในจังหวะเดียวกันที่ส่งรัฐมนตรีต่างประเทศไปเกาหลีใต้ ทรัมป์ก็ส่งข้อความขึ้นทวิตเตอร์ว่า เกาหลีเหนือมีพฤติกรรมที่แย่ และจีนก็ช่วยเรื่องนี้น้อยมาก

ทรัมป์พาลไปหาเรื่องกับจีนแบบนี้คงทำให้เกิดความหงุดหงิดที่ปักกิ่งเพิ่มขึ้นอีก เพราะก่อนหน้านี้ไม่นาน ผู้นำจีนเสนอให้ทั้งสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือถอยคนละก้าวเพื่อกลับสู่โต๊ะเจรจา

นั่นคือให้เกาหลีเหนือหยุดทดลองและพัฒนาขีปนาวุธและนิวเคลียร์ เพื่อแลกกับการที่สหรัฐกับเกาหลีใต้ยุติการซ้อมรบประจำปีใกล้ ๆ เกาหลีเหนือ

แต่ดูเหมือนทั้งสองฝ่ายจะไม่ฟังเสียง ยังเดินหน้าเล่นเกมแรงของฝ่ายตนต่อไป

ทำให้ระดับความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีร้อนแรงขึ้นอีกหลายระดับเกือบจะทันที

เกาหลีเหนือยืนยันมาตลอดว่า ที่ไม่หยุดพัฒนาอาวุธร้ายแรงเพราะไม่ไว้ใจอเมริกา ซึ่งเคยเข้าไปถล่มหลายประเทศ เพื่อเปลี่ยนระบบการปกครองของเขามาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอิรักหรือลิเบีย ที่ผู้นำของทั้งสองประเทศต้องสังเวยด้วยชีวิต

คิมจองอึนเชื่อว่าชะตากรรมของเขา ก็คงจะหนีไม่พ้นแนวทางนี้หากยอมตามเงื่อนไขของสหรัฐฯ

เขาจึงดื้อดึงสร้างอาวุธพลังทำลายล้างสูงต่อเนื่อง เพราะเชื่อว่านั่นเป็นหนทางเดียว ที่จะทำให้วอชิงตันเกรงใจ และยอมตามเงื่อนไขของตัวเองบ้างไม่มากก็น้อย

พูดอีกนัยหนึ่งก็คือผู้นำเกาหลีเหนือพร้อม สู้ตาย หากสหรัฐไม่ยอมเลิกนโยบายเผชิญหน้ากับตน ขณะที่สหรัฐมองว่าหากรอให้คิมจองอึนถูกโค่นจากภายใน หรือรอให้เศรษฐกิจเกาหลีเหนือย่ำแย่ถึงขั้นล่มสลายเองนั้นคงจะไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน

เพราะวันนี้คาบสมุทรเกาหลีเหนือ กลายเป็นจุดอ่อนไหวที่สุดแห่งหนึ่งของโลก... ที่อาจจะกลายเป็นสมรภูมิสงครามรอบใหม่ได้ หากหาทางออกที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้

ประเด็นที่แทรกเข้ามาเป็นเรื่องอ่อนไหวเพิ่มเติมคือ การเมืองในประเทศของเกาหลีใต้เอง หลังจากศาลตัดสินปลดปักกึนเฮ ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี ทำให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 9 พฤษภาคมนี้

แนวโน้ม ณ วันนี้คือประธานาธิบดีคนใหม่อาจเป็นผู้นำฝ่ายค้านวันนี้ ที่ชื่อมูนเจอิน ซึ่งประกาศว่าหากขึ้นมาปกครองบ้านเมือง จะมีความสนิทสนมกับเกาหลีเหนือมากกว่าที่ผ่านมา

แล้วอย่างนี้ทรัมป์จะทำอย่างไร.... เพราะคู่กรณีโดยตรงปรับเปลี่ยนนโยบายโดยฉับพลัน ขณะที่ทำเนียบขาววิ่งไปอีกทางหนึ่ง?

ความตึงเครียดท่ามกลางความแปรปรวน ของการเมืองระหว่างประเทศ เห็นปัจจัยที่น่ากังวลมากขึ้นทุกวัน