คดีฆาตกรรมคิมจองนัม : เขย่าเกมการเมืองเกาหลีเหนือ

คดีฆาตกรรมคิมจองนัม : เขย่าเกมการเมืองเกาหลีเหนือ

เกาหลีเหนือเป็นข่าวในหลายมิติในช่วงนี้... ท้าทายให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ และ สีจิ้นผิง

แห่งจีนต้องตัดสินว่าจะเอาอย่างไรกับ “ท่านผู้นำคิมจองอึน” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

พอทรัมป์เข้าทำเนียบขาวได้ไม่กี่วัน ท่านคิมก็ทดลองขีปนาวุธครั้งใหม่ พร้อมสำทับว่าอีกไม่นาน ก็จะสามารถยิงขีปนาวุธพิสัยไกลที่ถล่มเป้าหมายสหรัฐได้

ต่อมาก็เกิดข่าวใหญ่การเสียชีวิตอย่างเฉียบพลันของคิมจองนัม พี่ชายต่างมารดาของผู้นำเกาหลีเหนือที่สนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์

ช่วงเวลาเดียวกันจีนสั่งระงับการนำเข้าถ่านหิน จากเกาหลีเหนือทั้งหมดตั้งแต่ 19 ก.พ.ถึงสิ้นปีนี้ ซึ่งต้องถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เพราะเท่ากับว่ารายได้เกาหลีเหนือ จากการส่งออกหายไปเกือบค่อนครึ่ง มีผลกระทบต่อปากท้องคนเกาหลีเหนือ ที่ย่ำแย่อยู่แล้วให้หนักขึ้นไปอีก

ปักกิ่งอ้างเหตุผลที่ทำอย่างนั้นว่าเป็นไปตามมติของคณะมนตรีความมั่นคง ที่ลงโทษเปียงยางที่ทดลองอาวุธนิวเคลียร์ อันเป็นการฝ่าฝืนข้อตกลงกับสหประชาชาติ

ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้จีนเคยซื้อถ่านหินจากเกาหลีเหนือโดยอ้าง “ข้อยกเว้นในกรณีที่เกี่ยวกับความอยู่รอดของประชาชน” ของประเทศนั้น

แปลว่าจีนเลือกจะเริ่มวิธีการ “ลงโทษ” เกาหลีเหนือแทนการ “ช่วยเหลือ” ภายใต้เงื่อนไขพิเศษ

จังหวะที่ปักกิ่งตัดสินใจเรื่องนี้ตรงกับการทดลองขีปนาวุธของเปียงยางครั้งล่าสุด

มีการตีความจากนักวิเคราะห์บางสำนักว่า นี่คือสัญญาณจากจีนถึงสหรัฐและโลกตะวันตกว่า : ได้เวลาที่จะหาทางกดดันให้เกาหลีเหนือยอมรับเงื่อนไข ในการยุติการทดลองอาวุธร้ายแรงได้แล้ว

หรือพูดอีกอย่างก็คือจีนได้แสดงให้เห็นว่า ตนได้ใช้วิธีกดดันเกาหลีเหนือ เพื่อให้กลับมานั่งโต๊ะเจรจาอย่างที่ตะวันตกเรียกร้องมาตลอด

ทรัมป์เข้าใจเรื่องนี้แค่ไหนเป็นเรื่องน่าสงสัย แต่ผมเชื่อว่ารัฐมนตรีต่างประเทศ Rex Tillerson และรัฐมนตรีกลาโหมนายพล James Mattis น่าจะจับประเด็นเรื่องนี้ได้พอสมควร

หาไม่แล้ว อเมริกาจะ “ตกรถไฟ” ขบวนใหญ่ และจีนจะสามารถอ้างความเป็นเบอร์หนึ่ง ของเวทีการเมืองระหว่างประเทศได้ไม่ยาก

รัฐมนตรีต่างประเทศจีน หวางอี้บอกว่าเกาหลีเหนือจะไม่หยุดพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ หากสหรัฐไม่ยอมผ่อนปรนท่าทีลงจากเดิม

ตราบเท่าที่เกาหลีเหนือไม่รู้สึกปลอดภัย เขาก็จะยังเดินหน้าพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์” หวางอี้บอก เป็นการส่งสารไปถึงวอชิงตันว่า ผู้นำคนใหม่ในทำเนียบขาว ต้องปรับท่าทีให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของโลก

การที่คิมจองนัมถูกลอบสังหารที่กัวลาลัมเปอร์เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ทำให้จีนต้องประเมินสถานการณ์เกาหลีเหนือใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพราะข่าวหลายกระแสยืนยันตรงกันว่าจีนได้ “ดูแล” พี่ชายต่างมารดาของผู้นำเกาหลีเหนือคนนี้มาตลอดโดยหวังว่าจะเป็น “ตัวตายตัวแทน” หากมีเหตุการณ์ผันผวนขึ้นมาในเปียงยาง

ที่ผ่านมาคิมจองนัมเข้าออกจีนเป็นประจำ แม้ว่าจะมีสถานพำนักประจำอยู่ที่มาเก๊า เพราะหลังจากที่คิมจองอึนขึ้นมาอำนาจแล้ว พี่ชายคนนี้ก็ถอยห่าง ย้ายตัวเองและครอบครัวไปอยู่มาเก๊า โดยที่ทางการจีนให้การสนับสนุนอย่างไม่เป็นทางการ

หากข่าวกรองของเกาหลีใต้ถูกต้อง คำสั่งสังหารโหดด้วยยาพิษกลางสนามบินกัวลาลัมเปอร์ ก็ต้องมาจากน้องชายต่างมารดาที่เกาหลีเหนือ ซึ่งยิ่งจะทำให้ผู้นำจีนต้องคิดหนักว่าจะปฏิบัติต่อคิมจองอึนอย่างไร

ยิ่งเกาหลีเหนือทะเลาะเบาะแว้งกับรัฐบาลมาเลเซีย เรื่องจะทำอย่างไรกับศพนี้ ก็ยิ่งทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างประเทศหนักขึ้น

มาเลเซียไม่ยอมให้เกาหลีเหนือเข้าร่วมสอบสวนเบื้องหลังคดีฆาตกรรม เปียงยางกล่าวหาว่ามาเลเซียสมรู้ร่วมคิดกับ “กลุ่มคนที่เป็นศัตรู” กับเกาหลีเหนือเพื่อกีดขวางไม่ให้เข้าร่วมชันสูตรศพ มาเลเซียประท้วงด้วยการเรียกทูตของตนกลับจากเปียงยาง และเรียกทูตเกาหลีเหนือประจำกัวลาลัมเปอร์มารับคำประท้วง

เรื่องนี้กำลังจะบานปลายกลายเป็นความขัดแย้งสากล... เพราะหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นสหรัฐหรือจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ต่างก็ต้องการจะรู้คำตอบต่อคำถามที่ว่า

ศพนั้นเป็นคิมจองนัมจริงหรือไม่?

ถ้าจริง ใครสั่งฆ่า?

ยาพิษที่ใช้รุนแรงขนาดตายเกือบกะทันหันกระนั้นหรือ?

ถ้าผู้นำเกาหลีเหนือสั่งฆ่าจริง จะดำเนินการเอาผิดอย่างไรต่อไป?

คดีฆาตกรรมอุกอาจเช่นนี้ จะทำให้จีนปรับท่าทีต่อเกาหลีเหนืออย่างไร?

จนถึงนาทีนี้ คำตอบยังอยู่ในสายลม