Leadership 4.0

Leadership 4.0

บริษัทรถแท็กซี่อันดับหนึ่งของโลกคือ อูเบอร์

"Hey Sam, don’t forget my birthday lunch." อย่าลืมนัดฉลองวันเกิดเที่ยงนี้นะจ๊ะแซม เสียงหวานของแฟนสาวกล่าวผ่านลำโพงในรถออกมา

แซมยิ้มกริ่ม “จะลืมได้อย่างไรล่ะ ที่รัก แล้วผมว่าหลังอาหาร เราเผื่อเวลา ‘เปิดของขวัญ’ กันที่บ้านสักสองสามชั่วโมงดีไหม” เขาทำเสียงกรุ้มกริ่ม

เสียงหัวเราะคิกคักของเธอเป็นคำตอบที่ดีกว่าคำพูดใดๆ

แซมขับรถอูเบอร์ แต่จะว่ากันจริงๆ แซมไม่ใช่ "คนขับแท็กซี่" เพราะเขาทำทั้งขับรถรับส่งคน บริการขนส่งสินค้า รับสั่งกาแฟ และของว่าง เขียนบล็อกรีวิวร้านอาหาร และปล่อยห้องเช่าในแอร์บีเอ็นบี ไปพร้อมๆกัน รวมถึง งานดูแลภรรยาที่เพิ่งแต่งงานไม่ถึงปีอีกด้วย

ผมไม่รู้จะนิยามว่าแซมประกอบอาชีพอะไร แต่ส่วนประกอบหลักๆมีสองสามอย่าง 1) รายได้ขึ้นอยู่กับปริมาณงานที่ทำ 2) ความสำเร็จขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของลูกค้าทุกคน และ 3) โทรศัพท์มือถือคือพระเจ้า แซมเลือกได้ว่าจะทำงานตอนไหน และไม่ทำงานตอนไหน Work/Life Balance อยู่เพียงปลายนิ้วที่กดปุ่ม On หรือ Off

นี่คือวิธีทำงานของคนในยุค 4.0

หนังสือเล่มใหม่โดย Rajeev Peshawaria ซีอีโอสัญชาติอเมริกันของผมชื่อ Naked Autocrat เล่าถึงการเป็นผู้นำแบบ open-source leader

ยุคที่ข้อมูลในโลกล้วนฟรี และสะดวกในการเข้าถึง การสื่อสารคือ ไลน์ สมองถูกทดแทนด้วยอินสตาแกรม และชีวิตบันทึกได้ในเฟซบุ๊ค ส่วนอูเบอร์ แกร็บ แอร์บีเอ็นบี อาลีบาบา ทำให้ทุกคนเป็น ‘นาย’ ตัวเองได้
เมื่อโลกวันนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับ 15 ปีก่อน แล้วผู้นำล่ะ ต้องเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

เรากำลังอยู่ในยุคที่ทุกคนต้องเป็นผู้นำ หมดเวลาของการผลักภาระของ leadership ไปยังยอดพีระมิดองค์กร หมดเวลาของ "พี่สั่งมา" หมดเวลาของการประชุมเพื่อหาข้อสรุป หมดเวลาของการจ้างผู้จัดการไว้คอยกำกับให้ลูกน้องทำงาน หมดเวลาของการโทษคนอื่น

ทุกคนต้องหมั่นขัดเกลาพลังแห่งผู้นำ Leadership Energy ของตนเอง และใช้มันเพื่อสร้าง useful work ให้มากที่สุด

ข้อคิดสำหรับผู้นำสมอง
1. Everyone must be a leader ทุกคนต้องเป็นผู้นำ เราอาจเคยได้ยินประโยคที่ว่า People join organization but leave their bosses คนเลือกจอยองค์กร แต่ลาจากหัวหน้า

สิ่งที่น่าคิดคือในยุค 4.0 มันยังจริงอยู่หรือไม่ เด็กสมัยนี้ฝากอนาคตไว้ในมือ ‘พี่’ จริงหรือ Rajeev ถามพนักงานกว่า 15,000 คนในองค์กรทั่วเอเชียว่า "ความกระหายที่จะประสบความสำเร็จในงานของคุณขึ้นอยู่กับใคร"  What does your primary motivation to excel at work most depend on? พนักงาน 78% หรือ 4 ใน 5 คนบอกว่า "ขึ้นอยู่กับตัวเอง" งั้นจงหยุดสอนให้หัวหน้านำผู้อื่น และเริ่มสอนให้ลูกน้องนำตัวเอง

2. Autocratic leadership หมดสมัยของการนำแบบประชาธิปไตย สิ่งที่ตอบโจทย์โลกอันยุ่งเหยิงด้วยข้อมูล และความคิดเห็นนานา คือสไตล์การนำแบบเด็ดขาด แบบสำรวจของ Iclif Leadership Centre พบว่าคน 72% ต้องการผู้นำที่ top down มีปณิธานอันมุ่งมั่น ‘สอน’ ผู้อื่นตามวิถีที่ตนเชื่อว่าใช่ ให้วิสัยทัศน์กว้างไกล ขับเคลื่อนองค์กรได้ทันควันต่อเหตุการณ์ มุมานะบุกบั่นไปไม่ย่อท้อ และเพียรต่อสู้เพื่อสร้าง better future อนาคตที่ดีกว่าให้กับสังคม  

อ้าว แล้วที่พร่ำสอนกันมาว่าผู้นำต้องหมั่นถาม ฟังลูกน้อง หรือระบบการปกครองด้วยเสียงส่วนมากล่ะ ตกลงคือผิดหรือ 

ไม่ผิดครับ แต่ไม่ใช่คำตอบที่เวิร์คสำหรับยุค 4.0 คำอธิบายคือ ประชาธิปไตยเป็นทางออกแบบ compromised กระจายความเสี่ยงให้บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น เกิดขึ้นในสมัยที่คน ‘เจ็บ’ มาเยอะกับผู้นำแบบฮิตเลอร์ หรือการปกครองเผด็จการแบบอาณานิคม

แต่ยุค open-source แบบดิจิทัล 4.0 นั้น ล้างสมองประชาชนไม่ได้ง่ายๆ อีกต่อไป ระบบจะ hedge ตัวมันเองเพราะทุกคนเข้าถึงข้อมูลได้ไม่มีอะไรเป็นความลับ

3. Empowering accountability หัวใจอันสำคัญยิ่งของ Leadership 4.0 คือการปลูกฝังให้คนมีจิตใจดี ลงมือทำในสิ่งที่ถูกต้องโดยเอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง หมดสมัยของการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เทคโนโลยีช่วยให้ทุกคนสามารถเป็นฟันเฟืองเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับอนาคตของเราได้

พี่ชายผม ดร. ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ มีกลุ่มเฟซบุ๊ค ชื่อ ‘เพื่อนธรณ์’ ทำหน้าที่สอดส่องดูแลความเป็นไปในท้องทะเลไทย ใครไปเที่ยวไหน พบเห็นอะไรไม่ชอบมาพากล เพียงถ่ายรูปบักทึกคลิปแล้วแชร์มา รอดูผลในรายงานข่าวเช้าวันรุ่งขึ้น ดำเนินคดีได้ทันที

อธิบายมายืดยาว หากใครไม่มีเวลาอ่านหรือยังงงอยู่ ผมสรุปสั้นๆให้ว่า

ผู้นำสำหรับยุค 4.0 คือ ‘ผู้นำอย่างในหลวงรัชกาลที่ 9’

เข้าใจหรือยังครับ