ทำไมรถไฟฟ้าจะมาเร็วกว่าที่คิด

ทำไมรถไฟฟ้าจะมาเร็วกว่าที่คิด

ผมเชื่อว่าในอีก 20 ปี รถส่วนใหญ่ที่วิ่งอยู่ตามถนนจะเป็นรถไฟฟ้า (electric vehicle, EV)

ไม่ใช่รถยนต์สันดาปภายใน (internal combustion engine, ICE) หรือรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินหรือดีเซลเป็นเชื้อเพลิง เช่นที่เป็นอยู่ในขณะนี้ แต่มีความเป็นไปได้ว่ารถไฟฟ้าจะมาเร็วกว่าที่คิดด้วยเหตุผล 3 ประการคือ

วิวัฒนาการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน อาจถูกพัฒนาให้ต้นทุนถูกลงได้รวดเร็วเกินคาด เพราะแบตเตอรี่ดังกล่าวนั้นมิได้ใช้กับรถเพียงอย่างเดียว แต่ใช้กับอุปกรณ์หลายประเภทที่ตลาดจะขยายตัวอย่างก้าวกระโดด เช่น โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์สื่อสารพกพาต่างๆ ซึ่งต้องการ แบตเตอรี่ที่ทรงพลังและมีขนาดเล็ก 

ดังนั้นจึงจะมีการทุ่มเทเงินทุนและทรัพยากรในการค้นคว้าวิจัยให้ได้มาซึ่งแบตเตอรี่ขนาดเล็กลงและเก็บไฟได้มากขึ้น เติมพลังไฟฟ้าได้รวดเร็วและมีต้นทุนต่ำ ซึ่งหากต้นทุนแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนลดลงไปอีกประมาณ 30-40% เมื่อใดก็จะทำให้ราคารถไฟฟ้าถูกกว่าราคารถที่ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซล ดังนั้นเงินทุนที่ถูกจัดสรรมาวิจัยพัฒนาแบตเตอรี่เป็นจำนวนหลายพันล้านเหรียญทั่วโลก จึงน่าจะนำมาซึ่งผลสำเร็จในการแสวงหาแหล่งเก็บพลังงานที่จะทำให้รถไฟฟ้าตีตลาดรถยนต์ในเวลาอีกไม่กี่ปีก็เป็นได้

Tesla เปิดตัวรถไฟฟ้า model 3 เมื่อเดือนมี.ค.2016 ปรากฏว่ามีผู้มาสั่งจองรถรุ่นดังกล่าวเกือบ 400,000 ราย โดยยอมจ่ายค่าจองคันละ 1,000 เหรียญ ทำให้ Tesla สร้างประวัติศาสตร์ในการเปิดตัวสินค้า กล่าวคือสามารถทำยอดขายได้ทั้งสิ้นเกือบ 14,000 ล้านเหรียญ ทำให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ในเยอรมันเช่นไดแอมเลอร์ (เบนซ์) ตำหนิผู้บริหารอย่างรุนแรงว่าทำไมจึงทำเป็นทองไม่รู้ร้อน 

ทั้งนี้บริษัทรถยนต์ค่ายอื่นๆ ก็ถูกกดดันเช่นกัน รวมทั้งจากรัฐบาลเยอรมันซึ่งหนังสือพิมพ์ Wall Street Journal รายงานว่าที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเมอรแคลเรียกประชุมผู้ผลิตรถยนต์ทุกค่ายและถามว่า “เราจะทำอย่างไรกับ Tesla?” ซึ่งในที่สุดผ็ผลิตรถยนต์เยอรมันให้คำมั่นสัญญาว่าจะเร่งผลิตรถไฟฟ้าออกมาเป็นสิบรุ่นใน 3-5 ปีข้างหน้า และจะร่วมลงทุนกับรัฐบาลเยอรมันในการสร้างสถานีเติมไฟฟ้าอีกหลายร้อยแห่งทั่วเยอรมันและยุโรป เพื่อรองรับการขยายตัวดังกล่าว 

โดยรัฐบาลเยอรมันได้ออกมาตรการลดภาษีรถไฟฟ้าคันแรกคิดเป็นมูลค่า 2,000 ถึง 3,000 ยูโรต่อคัน กล่าวคือมีแรงกดดันจากหลายกลุ่มให้ผู้ผลิตรถยนต์ต้องออกมาแข่งขันกับ Tesla เพราะหาก Tesla ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจมาได้เพียง 10 กว่าปียังจะขายรถ EV ได้ 4 แสนคัน ทำไมบริษัทรถยนต์อื่นๆ ที่ผลิตรถยนต์มานานกว่า 100 ปีจะไม่สามารถขายรถ EV เป็นแสนคันได้บ้างและจะปล่อยให้ Tesla เป็นผู้ผลิต EV อยู่เจ้าเดียวได้อย่างไร 

ทั้งนี้บริษัท GM สามารถรีบนำรถ Chevy Bolt ออกมาขายได้ก่อน Tesla Model 3 ในปลายปีที่แล้ว โดยรถคันดังกล่าวราคา 37,000 เหรียญและสามารถวิ่งได้ 420 กม.จากการเติมไฟฟ้า 1 ครั้ง ในขณะที่ประธานของบริษัทโตโยต้า (นาย Toyoda) ได้ประกาศว่าบริษัทโตโยต้าจะพัฒนารถไฟฟ้าโดยตนจะเป็นประธานขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวด้วยตัวเอง ทั้งนี้ในอดีตโตโยต้าไม่สนับสนุนรถไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ลิเทียม แต่พยายามส่งเสริมการใช้ Hydrogen fuel cell มาโดยตลอด 

ข้อสรุปของผมคือเมื่อเป็นที่ประจักษ์ว่า Tesla Model 3 มียอดจองสั่งซื้อ 4 แสนคัน ทุกค่ายก็คงต้องการผลิตและขายรถไฟฟ้าค่ายละเป็นแสนคันต่อปี แข่งขันและช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจาก Tesla บ้างและเนื่องจากมีผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ประมาณ 10 บริษัททั่วโลก ก็เป็นไปได้ว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ทุกบริษัทจะมีความพยายามผลิตและขายรถไฟฟ้า 4 ล้านคันต่อปีและหากประสบความสำเร็จก็จะส่งผลกระทบต่อยอดขายรถยนต์เบนซินและดีเซลเร็วเกินคาด (ปัจจุบันทั่วโลกมียอดขายรถประมาณ 100 ล้านคันต่อปี)

ทั่วโลกมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้นในการลดมลภาวะ ซึ่งเห็นได้ชัดในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งต้องการให้ใช้รถที่ปราศจากมลภาวะภายใน 20 ปีข้างหน้าเป็นอย่างช้าและผู้ว่าการเมืองหลวงบางแห่งประกาศว่าต้องการห้ามใช้รถที่ก่อให้เกิดมลภาวะโดยเร็วที่สุด (กรุงโตเกียวห้ามรถใช้ดีเซลมาตั้งแต่ปี 2000 แล้ว) ในประเทศกำลังพัฒนาก็มีปัญหาด้านมลภาวะ เช่นประเทศใหญ่ 2 ประเทศคือ จีนและอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหามลภาวะทางอากาศของมืองใหญ่ในประเทศจีนที่เป็นข่าวใหญ่เมื่อปลายปีที่แล้ว 

ประเด็นหลักคือทุกประเทศไม่ว่าจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วหรือประเทศกำลังพัฒนาหลัก (คือจีนและอินเดีย) ก็จะไม่มีความต้องการรถยนต์เบนซินและดีเซลเพิ่มขึ้นจะมีแต่ลดลง (หรืออย่างมากก็ขยายตัว 2% ต่อปี โดยการคาดการณ์ของ McKinsey) ทั้งนี้ขอให้ท่านผู้อ่านลองคิดดูว่าประเทศส่วนใหญ่หลายสิบประเทศในโลกเป็นประเทศที่นำเข้ารถยนต์ มีประมาณ 20 ประเทศเท่านั้นที่ส่งออกรถยนต์สุทธิ 

ดังนั้นเมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ที่กำจัดมลภาวะได้ การยอมรับและความต้องการใช้สินค้าดังกล่าวอาจจะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วเกินคาด กล่าวคือผมเชื่อว่าประเทศผู้ซื้อรถจะรีบปฏิเสธรถ ICE ในโอกาสแรกที่รถ EV สามารถแข่งขันได้ในด้านราคาและสมรรถนะครับ