สามประเด็นที่ต้องระวังสำหรับการลงทุนปีนี้

สามประเด็นที่ต้องระวังสำหรับการลงทุนปีนี้

ปีนี้นักลงทุนต่างประเทศมองเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยด้วยความหวัง หวังที่จะเห็นทั้ง

เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจภูมิภาคดีขึ้นจากปีที่แล้ว โดยเฉพาะจากการคาดหวังว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวดีขึ้นปีนี้และดึงให้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจภูมิภาคดีมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากต่อการลงทุนในหุ้น แต่ภายใต้ความคาดหวังเหล่านี้ ลึกๆแล้ว นักลงทุนเองก็มีความวิตกอยู่เหมือนกัน คือ กลัวว่าปัจจัยบวกที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอาจไม่ออกมาอย่างที่คิด ขณะที่ปัจจัยลบที่มีอยู่มากในเศรษฐกิจโลกก็อาจแผลงฤทธิ์ ทำให้การลงทุนปีนี้อาจออกมาแบบผิดหวังมากกว่าสมหวัง วันนี้จึงอยากเขียนถึงสถานการณ์สามสถานการณ์ที่ทำให้การลงทุนปีนี้เป็นเรื่องที่ต้องระวัง เป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องตระหนักและติดตาม

แนวคิดกระแสหลักของนักลงทุนส่วนใหญ่สำหรับปีนี้คือ เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวในอัตราที่สูงกว่าแนวโน้มปกติ กระตุ้นโดยการใช้จ่ายภาครัฐและการลดภาษี ตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัล ทรัมพ์ ซึ่งเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดีก็จะสร้างแรงกดดันให้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐเร่งตัวขึ้น ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐต้องเร่งปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น เป็นตรรกะของเศรษฐกิจขาขึ้นที่จะทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นสดใส ขณะที่ราคาพันธบัตรจะปรับลงจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น ดึงเม็ดเงินลงทุนให้ไหลเข้าตลาดหุ้นมากขึ้น นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยสหรัฐที่สูงขึ้น ก็จะทำให้สินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์น่าลงทุน เพราะอัตราผลตอบแทนเพิ่มสูงขึ้น ดึงเงินลงทุนต่างประเทศให้กลับเข้าสหรัฐ ทำให้เงินดอลลาร์จะยิ่งแข็งค่ามากขึ้น และตลาดหุ้นสหรัฐก็ยิ่งจะได้ประโยชน์  

ทั้งหมดจะสร้างผลต่อเนื่องให้กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและตลาดหุ้นทั่วโลก ทำให้ปีนี้เป็นปีที่น่าลงทุนอีกปีในตลาดหุ้น แม้อัตราดอกเบี้ยสหรัฐจะปรับสูงขึ้น

นี่คือแนวการวิเคราะห์ที่นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้ประเมินแนวโน้มการลงทุนปีนี้

ที่ต้องตระหนักก็คือ แนวคิดดังกล่าวให้ความสำคัญมากกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและมองข้ามปัจจัยลบอื่นๆที่เศรษฐกิจโลกมีอยู่ที่สามารถมีอิทธิพลต่อการลงทุนปีนี้ได้ เป็นการให้ภาพด้านดีด้านเดียว และมองข้ามปัญหาและความอ่อนแอต่างๆที่มีอยู่ 

นอกจากนี้ ก็มองข้ามปัจจัยการเมืองในประเทศต่างๆที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกได้อย่างคาดไม่ถึง เป็น surprise factor ที่อาจกระทบการลงทุนปีนี้ ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนจึงควรต้องวิเคราะห์ภาพตามข้อเท็จจริงที่มีอยู่ ตระหนักถึงปัจจัยที่อาจมีอิทธิพลต่อตลาดการเงินปีนี้ทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบ ซึ่งเท่าที่ประเมิน มีอย่างน้อยสามสถานการณ์ที่อาจเป็นประเด็นคาดไม่ถึงที่อาจกระทบการลงทุนปีนี้

ประเด็นแรก คือ การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ที่การกระตุ้นโดยนโยบายการคลัง อาจไม่เกิดขึ้นง่ายอย่างที่คิด เพราะกลไกการขับเคลื่อนนโยบายการคลังจากแนวคิดไปสู่การกำหนดตัวนโยบาย ไปสู่การผ่านร่างกฎหมายเพื่อให้สภาสูงสหรัฐอนุมัติการก่อหนี้เพิ่มเพื่อสนับสนุนการใช้จ่ายดังกล่าว และการขับเคลื่อนการใช้จ่ายให้เกิดขึ้นจริง ทั้งหมดเป็นกระบวนการที่ใช้เวลาและอาจเกิดอุปสรรคทางการเมืองได้กว่าจะมีเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบ นอกจากนี้ ก็ยังไม่ชัดเจนว่ารูปแบบกระตุ้นการออกมาอย่างไร จะเป็นการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ หรือจะเป็นการใช้เงินเพื่อเพิ่มผลิตภาพทางการผลิต (productivity) ดังนั้น ถ้าเม็ดเงินใหม่ไม่มาหรือมาช้า คือไม่สามารถผลักดันให้เกิดการใช้จ่ายได้อย่างที่หวัง แรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจที่หวังไว้ก็อาจไม่เกิดขึ้น

ประเด็นที่สอง ก็คือ นโยบายการเงินในสหรัฐที่ปีนี้ธนาคารกลางสหรัฐมีแผนที่ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นต่อเนื่องอย่างน้อยสามครั้งในช่วงสิบสองเดือนข้างหน้า ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับข้อสมมุติว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวได้มากกว่าแนวโน้มปรกติจากการกระตุ้นของนโยบายการคลัง แต่ถ้าแรงกระตุ้นดังกล่าวใช้เวลาและเศรษฐกิจสหรัฐไม่เร่งตัวมากอย่างที่คิดไว้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐก็อาจต้องชะลอ ทำให้ราคาพันธบัตรจะไม่ปรับลดลงมากอย่างที่คิด เพราะอัตราดอกเบี้ยไม่ได้ปรับสูงขึ้นอย่างคาด ผลก็คือ ผลตอบแทนต่อการลงทุนในตลาดพันธบัตรยังจะน่าสนใจสำหรับนักลงทุน เพราะตลาดหุ้นไม่ได้คึกคักอย่างที่คาด และสำหรับตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย ภาวะดังกล่าวจะลดแรงกดดันต่อตลาดการเงินในภูมิภาค เพราะเงินทุนไหลออกจะไม่มากและไม่รุนแรง ซึ่งจะช่วยประคับประคองผลตอบแทนต่อการลงทุนในตลาดการเงินภูมิภาค ไม่ให้ลดต่ำลงเร็วเกินไป

ประเด็นที่สาม ก็คือ ปัจจัยด้านการเมือง โดยเฉพาะโมเม็นตัมของกระแสการเมืองแบบขวาจัด หรือ ชาตินิยม ที่ปฏิเสธนโยบายเสรีนิยม ปฏิเสธการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ และปฏิเสธสิ่งที่มีอยู่ที่อาจรุนแรงขึ้นหรือลามไปสู่ประเทศต่างๆมากขึ้นในปีนี้ โดยเฉพาะในยุโรป ที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่อย่างน้อยในสองประเทศ คือ ฝรั่งเศสและเยอรมันนี ซึ่งถ้ากระแสการเมืองขวาจัดสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนฐานอำนาจทางการเมืองในสองประเทศนี้ได้ คือ ผู้นำประเทศปัจจุบันทั้งในฝรั่งเศสและเยอรมันนี แพ้การเลือกตั้งให้กับกลุ่มขวาจัด หรือ กลุ่มชาตินิยม การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนี้ ก็จะมีผลและเป็นความเสี่ยงอย่างสำคัญต่อแนวโน้มทางเศรษฐกิจของประเทศในยุโรป ต่อความก้าวหน้าของนโยบายปรับโครงสร้างเศรษฐกิจหรือ reform ที่ประเทศในยุโรปต้องทำ และต่อการคงอยู่ของสหภาพประชาคมยุโรปและระบบเงินสกุลยูโร ซึ่งจะสร้างความไม่แน่นอนและความผันผวนให้กับตลาดการเงินโลกมากและอาจมากกว่ากรณี Brexit หรือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปีที่แล้ว สิ่งเหล่านี้ ถ้าเกิดขึ้นจะลบภาพการขยายตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจโลกที่กระแสหลักของนักลงทุนส่วนใหญ่ขณะนี้มองอยู่

สถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกขณะนี้มีความไม่แน่นอนมาก ทำให้ทั้งนักลงทุนและผู้ทำนโยบายจะต้องไม่ชะล่าใจและต้องหมั่นประเมินความเป็นไปได้ของสถานการณ์เหล่านี้และผลที่จะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในบ้านเรา นี่คือ ข้อเท็จจริงที่เป็นความวิตกกังวลที่มีอยู่ขณะนี้ ที่อาจทำให้การลงทุนปีนี้ไม่สดใสเหมือนที่แนวคิดกระแสหลักกำลังประเมินกันอยู่