มหาเธร์ เสือเฒ่าไม่สิ้นลาย

มหาเธร์ เสือเฒ่าไม่สิ้นลาย

ผู้ที่สนใจการเมืองมาเลเซีย ย่อมเคยได้ยินชื่อนายแพทย์มหาเธร์ โมฮัมหมัด

ในฐานะบุคคลที่ครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรียาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองมาเลเซีย ซึ่งตลอดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งดังกล่าวตัวเขามีบทบาทสำคัญทั้งในเวทีการเมืองและการพัฒนาประเทศ ตลอดจนได้รับการยกย่องอย่างสูงจากเวทีการเมืองระหว่างประเทศ ก่อนที่ตัวเขาตัดสินใจก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี ค.ศ.2003

หลังยุติบทบาทนายกรัฐมนตรี แม้นายแพทย์มหาเธร์มิได้มีตำแหน่งทางการเมืองและการบริหารประเทศอย่างเป็นทางการ แต่ยังคงมีอิทธิพลในเวทีการเมืองมาเลเซีย โดยเฉพาะการแสดงทัศนะและเคลื่อนไหวทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่า นายแพทย์มหาเธร์กลับมีท่าทีทางการเมืองที่แตกต่างไปจากเมื่อครั้งที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดังเห็นได้ว่าตัวเขาเริ่มกลับลำมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลมาเลเซีย โดยเฉพาะบรรดานายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคอัมโน ทั้งที่ตัวเขาเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคนี้มาอย่างยาวนาน เช่น การที่เขาสนับสนุนให้สมาชิกพรรคอัมโนออกมาขับไล่อดีตนายกฯ อับดุลเลาะห์ อาหมัด บาดาวี ออกจากตำแหน่ง หลังจากนายแพทย์มหาเธร์ไม่พอใจที่อดีตนายกฯบาดาวี ไม่สามารถแก้ปัญหาความชะงักงันทางเศรษฐกิจของมาเลเซียได้ ทั้งยังมีท่าทีว่าจะเข้าไปตรวจสอบความโปร่งใสในการดำเนินงานโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาลที่เคยได้รับอนุมัติในสมัยนายกฯมหาเธร์ การเคลื่อนไหวดังกล่าวของอดีตนายกฯมหาเธร์ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดดันให้อดีตนายกฯบาดาวีต้องสละตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคอัมโนให้แก่นายนาจิบ ราซัก ในเวลาต่อมา

การเคลื่อนไหวทางการเมืองของนายแพทย์มหาเธร์ ในทิศทางตรงข้ามรัฐบาล ชัดเจนขึ้นช่วงกลางปี ค.ศ.2015 เมื่อมีข้อครหาว่านายนาจิบ ราซัค พัวพันกับการทุจริตเงินในกองทุนรัฐบาลเป็นเงินกว่า 20,000 ล้านบาท ทำให้ประชาชนมาเลเซียนับแสนคนออกมาชุมนุมประท้วงขับไล่นายกฯนาจิบ ภายใต้ชื่อการชุมนุมว่า Bersih 4.0 ซึ่งนายแพทย์มหาเธร์ ได้สร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้คนเมื่อเขาและครอบครัวประกาศสนับสนุนการชุมนุมดังกล่าว และได้เข้าร่วมชุมนุมครั้งนั้นด้วย ทั้งที่ทราบกันดีว่าผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดการชุมนุมครั้งนี้ คือ บรรดาองค์กรพัฒนาเอกชน นักวิชาการ และนักการเมืองฝ่ายค้านซึ่งล้วนแต่เคยเป็นไม้เบื่อไม้เมากับนายแพทย์มหาเธร์ มาแล้วทั้งสิ้น หลังการเข้าร่วมชุมนุม Bersih 4.0 นายแพทย์มหาเธร์เริ่มหวนกลับมาใช้พื้นที่สื่อต่างๆวิจารณ์นายนาจิบ ราซัก อย่างต่อเนื่อง ท่าทีเช่นนี้ทำให้ผู้สนับสนุนนายกฯนาจิบ ออกมาตอบโต้ว่าการที่นายแพทย์มหาเธร์วิจารณ์นายกฯนาจิบอย่างดุเดือดเป็นเพราะต้องการแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอัมโนและนายกรัฐมนตรีมาให้ลูกชายของนายแพทย์มหาเธร์นั่นเอง

หลังจากความสัมพันธ์กับพรรคอัมโนเลวร้ายลงตามลำดับ นายแพทย์มหาเธร์สร้างความประหลาดใจให้แก่คอการเมืองมาเลเซียอีกหลายครั้ง ดังเหตุการณ์เมื่อวันที่ 5 กันยายน ปีนี้ ซึ่งนายแพทย์มหาเธร์ได้ไป ปรากฏตัว โดยบังเอิญ” ที่ศาลอาญา ขณะที่ นายอันวาร์ อิบราฮิม อดีตทายาทและศัตรูทางการเมือง คนสำคัญของเขาเดินทางมาขึ้นศาล การเผชิญหน้าครั้งนี้ จบลงที่ทั้งสองฝ่ายจับมือกันต่อหน้าสื่อมวลชนจำนวนมาก ราวกับลืมความหลังเมื่อครั้งที่นายแพทย์มหาเธร์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ปลดนายอันวาร์ ออกจากตำแหน่งรองนายกฯ และตั้งข้อหารักร่วมเพศแก่นายอันวาร์ จนทำให้นายอันวาร์ต้องโทษคุมขังอยู่หลายปี หลังจากฉาก “จับมือ” เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน นายแพทย์มหาเธร์ ได้สร้างความตื่นตะลึงให้แก่เวทีการเมืองมาเลเซียอีกครั้ง เมื่อตัวเขาและบุคคลใกล้ชิด ตลอดจนผู้สนับสนุนทางการเมืองประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคอัมโน และก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ที่มีชื่อว่า Malaysian United Indigenous Party ขึ้น โดยประกาศชัดเจนว่าจะเสนอตัวแข่งขันกับพรรคอัมโนในการเลือกตั้งทั่วไปในปี ค.ศ.2018

หลังจากนั้นนายแพทย์มหาเธร์ยิ่งเดินหน้าท้าทายนายนาจิบ ราซัก โดยเฉพาะการเข้าร่วมชุมนุม Bersih 5.0 เพื่อขับไล่นายนาจิบ ราซัก เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน และล่าสุดในวันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม ที่ผ่านมา นายแพทย์มหาเธร์ ได้เดินทางไปปรากฏตัวในเวทีประชุมใหญ่ของพรรค Democratic Action Party ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านไม้เบื่อไม้เมา มาเกือบตลอดระยะเวลาที่นายแพทย์มหาเธร์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยนายแพทย์มหาเธร์ได้พบปะพูดคุยกับแกนนำอาวุโสของพรรค DAP ที่เคยขับเคี่ยวกับเขามาอย่างยาวนาน อาทิ ลิม กิต เสียง อดีตหัวหน้าพรรคซึ่งครั้งหนึ่งนายแพทย์มหาเธร์เคยสั่งลงโทษถึงขั้นจำคุกมาแล้ว รวมถึงนางวัน อาซิซะห์ วัน อิสมาอิล ภรรยาของนายอันวาร์ อิบราฮิม ที่มาร่วมงานในฐานะแกนนำพรรค Parti Keadilan Rakyat ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านสำคัญในปัจจุบัน โดยหลังการประชุมดังกล่าวเสร็จสิ้นลง นายแพทย์มหาเธร์กล่าวว่า ตัวเขาเคยเข้าใจพรรค DAP ผิดไปว่ามุ่งทำเพื่อชาวจีนในมาเลเซียเท่านั้น แต่บัดนี้เขาเข้าใจแล้วว่าพรรคนี้มุ่งทำเพื่อประชาชนมาเลเซียทุกเชื้อชาติ

ตลอดระยะเวลากว่า 91 ปี บนเส้นทางชีวิต นายแพทย์มหาเธร์ ผ่านร้อนผ่านหนาวบนเวทีการเมืองมายาวนาน นับตั้งแต่ได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.สมัยแรกใน ค.ศ.1964 และถูกขับออกจากพรรคอัมโนใน ค.ศ.1969 ฐานที่วิจารณ์ตนกู อับ ดุล เราะห์มานหัวหน้าพรรคอัมโนในเวลานั้นอย่างรุนแรง ก่อนได้รับโอกาสให้กลับเข้าพรรคอีกครั้งและไต่เต้าจนถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใน ค.ศ.1981 ด้วยเวลาที่ล่วงเลยเช่นนี้คงกล่าวได้ว่า การเลือกตั้งทั่วไปใน ค.ศ.2018 คงเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของนายแพทย์มหาเธร์

แต่ถึงแม้ว่าสังขารจะร่วงโรยไปด้วยวัยเวลา ทั้งยังมิได้กุมอำนาจรัฐอย่างเด็ดขาดเช่นในอดีต ทว่าการต่อสู้ของ เสือเฒ่าก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรดูแคลน โดยเฉพาะเมื่อทุกคนต่างรู้ดีว่า เสือเฒ่าผู้นี้เปี่ยมด้วยบารมีและชั้นเชิงทางการเมืองมากเพียงใด และยิ่งเมื่อ “เสือเฒ่า” ยอมปรับท่าทีถึงขั้นหวนไปสานสัมพันธ์กับคู่แข่งเก่าๆเพื่อร่วมโค่นล้มผู้นำทางการเมืองคนปัจจุบันซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผล ก็ทำให้การเมืองมาเลเซียร้อนระอุขึ้นทันตาเห็น ดังนั้นบรรดาผู้สนใจการเมืองมาเลเซียคงต้องจับตาดูว่าการหวนกลับมาเคลื่อนไหวของ“เสือเฒ่า” ผู้นี้จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในมาเลเซียได้ดังเช่นในอดีตหรือไม่ อย่างไร

----------------

ผศ.อภิเชษฐ กาญจนดิฐ

นักวิจัยฝ่ายนโยบายชาติและความสัมพันธ์ข้ามชาติ สกว.