วันนั้น...ทรงเรียกพระองค์เองว่า “พ่อ”

วันนั้น...ทรงเรียกพระองค์เองว่า “พ่อ”

มีเหตุผลหลากหลายที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชทรงได้รับการยกย่องว่าเป็น “พระเจ้าอยู่หัวของประชาชน”

ในความเห็นของผมผมคิดว่าเหตุผลข้อหนึ่งก็คือประชาชนจำนวนนับล้านๆ คนได้มีโอกาส “สัมผัส” กับพระองค์ท่านจริงๆ 

ไม่ต้องดูอื่นไกลเพียงภาพพระราชภารกิจของพระองค์ท่านตลอดเวลา 70 ปีแห่งการครองราชย์เราก็เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่มีพระมหากษัตริย์องค์ใดในโลกที่ได้เสด็จไปสัมผัสกับประชาชนของพระองค์จำนวนมากมายหลากหลายและยาวนานเช่นนั้น

ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการทหารตำรวจนักธุรกิจชาวไร่ชาวนา ชาวเขา พระภิกษุ นักบวช นิสิต นักศึกษา พ่อค้าแม่ค้าประชาชนทั่วไปฯลฯไม่ว่าจะถามใครเรามักได้รับคำตอบว่าเคยมีโอกาสได้พบพระองค์มาแล้วทั้งนั้นและทุกคนก็จะบอกว่าเป็นวันแห่งความทรงจำที่ไม่มีวันลืมเลือนมีความสุขที่จะเล่าให้ฟังว่าวันนั้นพบพระองค์ที่ไหนพระองค์ทรงตรัสว่าอย่างไรบ้างฯลฯ

ผมก็เป็นประชาชนธรรมดาคนหนึ่งในชีวิตได้มีโอกาสสัมผัสพระองค์เช่นกันเช่นในวันรับพระราชทานปริญญาบัตรในวันรับเสด็จฯที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามฯลฯแต่วันที่ผมรู้สึกชื่นหัวใจที่สุดและเล่าขานให้ลูกหลานฟังตลอดเวลาก็คือวันที่ผมได้เห็นพระองค์ไม่ใช่ในฐานะพระมหากษัตริย์เท่าใดนักแต่ในฐานะศิลปินในฐานะพ่อ

ผมหมายถึงวันที่ผมเป็นนักศึกษาปีที่ 1 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อปีพ.ศ. 2510-2511 และวันนั้นเป็น “วันเสด็จทรงดนตรี” ที่หอประชุมใหญ่

ผมไม่รู้หรอกครับว่าบรรยากาศการทรงดนตรีจะเป็นเช่นใดไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าพระองค์ได้เสด็จมาทรงดนตรีที่นี่ครั้งแรกก่อนนั้นไม่นานนักคือเมื่อปีพ.ศ. 2506 และได้ทรงปลูกต้น “ยูงทอง” ไว้ให้ที่หน้าหอประชุม 5 ต้น ผมรู้แต่เพียงรุ่นพี่บอกว่าต้องรีบเข้าไปจองที่นั่งในหอประชุมโดยเร็วที่สุดเพราะนักศึกษาจะแน่นมากและที่นั่งในหอประชุมจะไม่เพียงพอ

จำได้ว่าวันนั้นผมและเพื่อนๆ รีบรับประทานอาหารกลางวันแต่เนิ่นๆ และทันทีที่หอประชุมเปิดตอนเที่ยงทุกคนก็เบียดเสียดกันเข้าไปหาที่นั่งที่ดีที่สุดใกล้เวทีที่สุดเท่าที่จะหาได้แต่เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้นทุกที่นั่งในหอประชุมก็เต็มไปหมดนักศึกษาจำนวนมากต้องหาที่นั่งบนพื้นทางเดินในหอประชุมเท่าที่จะหาได้เท่านั้น

ผมและเพื่อนๆ เบียดตัวเข้าไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ไปจนถึงขอบเวทีด้านหน้าซึ่งตอนแรกก็ยังไม่มีใครไปอยู่บริเวณนั้นแต่เมื่อหอประชุมล้นหลามจริงๆ นักศึกษาที่เหลืออีกจำนวนมากก็เบียดตัวกันจนเข้าไปถึงบริเวณที่ผมยืนอยู่อย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นก็มีแต่นักศึกษาเบียดเสียดจนไม่สามารถขยับตัวไปทางไหนได้อีกเลยเป็นเพียงที่พวกเรายืนเบียดกันเท่านั้นไม่มีที่นั่งหรอกครับ

นักศึกษาแน่นไปหมดทุกตารางนิ้วของหอประชุมใหญ่ทั้งๆ ที่กว่าพระองค์จะเสด็จฯถึงและการแสดงจะเริ่มต้นขึ้นก็เป็นเวลาอีกหลายชั่วโมง

ถึงแม้ว่าในวันรับพระราชทานปริญญาบัตร บัณฑิตทุกคนรวมทั้งผมเองจะได้มีโอกาสใกล้ชิดพระองค์มากกว่านั้น และเป็นอีกวันหนึ่งที่ผมภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต ที่ได้รับพระราชทานจากพระหัตถ์ของพระองค์ แต่วันที่ผมเกาะขอบเวทีอยู่ด้านล่างในวันเสด็จทรงดนตรี แม้จะอยู่ห่างไกลพระองค์มากกว่า กลับเป็นวันที่ผมรู้สึกใกล้ชิดพระองค์มากที่สุด ได้ใกล้ชิดในความเป็นพ่อ ในความเป็นศิลปิน และในความเป็นบุคคลที่ประชาชนสัมผัสได้จริงๆ

ความสามารถด้านดนตรีของพระองค์เป็นเรื่องราวที่เรารับทราบและเล่าสู่กันฟังไม่จบสิ้นอยู่แล้วท่านทรงเล่นเครื่องดนตรีได้หลากหลายชนิดทรงพระราชนิพนธ์เพลงที่ไพเราะและมีความหมายจำนวนมากเกือบ 50 เพลงพระปรีชาสามารถด้านดนตรีของพระองค์ท่านได้รับการยอมรับไปทั่วโลก

แต่ที่อยู่ในความทรงจำของผมก็คือวันนั้นพระองค์ทรงดนตรีให้พวกเราซึ่งเป็นนักศึกษาธรรมดาๆ เป็นพสกนิกรธรรมดาๆ ของพระองค์ได้รับฟังอย่างเป็นกันเองและสนทนากับพวกเราด้วยภาษาธรรมดาที่สุดและแทรกด้วยพระอารมณ์ขันเป็นระยะๆ บางครั้งยังทรงหยอกล้อสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถและพระราชโอรสพระราชธิดาอีกด้วย

ผมยังจำได้ว่าในเวลานั้นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ยังทรงพระเยาว์มากทรงโอบกอดสมเด็จพระนางเจ้าฯเป็นครั้งคราวแต่ช่วงหนึ่งของการแสดงพระเจ้าอยู่หัวฯได้ทรงตรัสให้ออกไปเล่นเปียโนให้นักศึกษาฟังเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯทรงขวยเขินและมีท่าทีลังเลที่จะเสด็จไปกลางเวทีในที่สุดพระเจ้าอยู่หัวฯก็ทรงตรัสด้วยความเอ็นดูว่า “นี่พ่อสั่งนะ”....เรียกเสียงหัวเราะของพวกเราทั้งหอประชุม

วันนั้นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตที่ผมได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ที่ตรัสคำว่า “พ่อ” ออกมาอย่างชัดเจนในความหมายที่เป็น “พ่อของครอบครัว” แต่หลังจากวันนั้นวันเวลาได้ผ่านไปอีกหลายทศวรรษแล้วจนถึงวันนี้ผมยังได้ยินคำว่าพ่อเช่นกันเป็นเสียงที่หนักแน่นและเต็มไปด้วยพลังศรัทธาแต่เป็นเสียงของประชาชนที่เรียกท่านว่า “พ่อ” ของแผ่นดิน
พ่อที่ประเสริฐสุดพ่อที่ดูแลพวกเรามาอย่างดีที่สุดเป็นเวลา 70 ปีพ่อที่เสด็จฯจากพวกเราไปแล้วพ่อที่เราไม่มีโอกาสได้เห็นพระองค์อีกแล้วแต่ผมเชื่อว่าพ่อจะทรงประทับอยู่ในหัวใจของเราทุกคนไปชั่วนิรันดร์....

“พ่อ”ทรงประทับอยู่ในหัวใจของผมเช่นกันและผมจะเทิดทูนพ่อไว้สูงสุดตลอดไป.....จนกว่าชีวิตนี้จะหาไม่