อยากเป็นเช่นนั้นไหม

อยากเป็นเช่นนั้นไหม

กลโกงในการสอบคัดเลือกเข้าเป็นนักศึกษาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ และ เภสัชศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยรังสิตเมื่อสัปดาห์ก่อน

เป็นเรื่องที่ตอกย้ำว่า สังคมไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางจริยธรรม ที่แพร่สะพัดไปหลากหลายวงการ 

การใฝ่ฝันที่จะเป็นนักศึกษาในสาขาวิชาดังกล่าว ซึ่งเป็นวิชาชีพที่มีเกียรติอย่างยิ่งนั้นเป็นเรื่องที่ดี และคนที่ฝันเช่นนั้นก็น่าจะมีระดับสติปัญญาที่ดีพอสมควร เพราะการเรียนแพทย์หรือทันตแพทย์หรือเภสัชศาสตร์ เป็นเรื่องที่ยากมาก คนทั่วไปต่างทราบดีว่าถ้าสติปัญญาระดับธรรมดา ต่อให้สอบเข้าไปได้ด้วยวิธีมหัศจรรย์ ก็มีโอกาสสูงมากที่จะเรียนไม่สำเร็จอยู่ดี

ดังนั้นการที่นักเรียน 3 คน ซึ่งน่าจะมีสติปัญญาดี เลือกใช้วิธีการโกงสอบเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่ง ส่วนการที่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐ ซึ่งกำลังจะเป็นบัณฑิตในเวลาไม่นานนัก เข้าร่วมกระบวนการโกงด้วย โดยรับจ้างเข้าไปนั่งสอบด้วยเงิน 6,000 บาท และสวมแว่นตาไฮเทค เพื่อใช้อุปกรณ์ดังกล่าวถ่ายรูปข้อสอบ แล้วส่งออกมาภายนอก จึงเป็นเรื่องที่ผมคิดว่าน่าเศร้ายิ่งขึ้นไปอีก

เพราะมันสะท้อนว่า 4 ปี ในมหาวิทยาลัย ไม่ได้ขัดเกลาให้คนบางคน เป็นคนดีของสังคมขึ้นมาได้เลย คนอย่างนี้น่ะหรือที่กำลังจะเข้าสู่ฐานทรัพยากรบุคคลของประเทศ ลองคิดดูว่า ถ้าไม่ถูกจับได้ในครั้งนี้ อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เมื่อสำเร็จเป็นบัณฑิตและมีโอกาสได้เป็นข้าราชการ หรือบุคลากรขององค์กรเอกชนแล้ว องค์กรที่เขาทำงานอยู่ด้วยนั้น จะต้องประสบปัญหาหรือความเสี่ยงอะไรบ้าง

นอกจากนั้น การที่โรงเรียนติว 2 แห่ง เข้าร่วมขบวนการครั้งนี้ด้วย และมี “ติวเตอร์” ที่พร้อมทำข้อสอบ และสามารถส่งคำตอบที่เชื่อว่าถูกต้องได้ ภายในเวลาอันจำกัดมาก ก็แสดงว่าติวเตอร์เหล่านี้เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถสูง ระดับเชี่ยวชาญในสาขาวิชาเหล่านั้นเลยทีเดียว แต่กลับนำความรู้ความเชี่ยวชาญไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย เรื่องอย่างนี้ก็สร้างความหดหู่ใจให้แก่สังคมเช่นกัน

เรื่องที่เกิดขึ้นจึงเป็นการตอกย้ำว่า สังคมไทยเราวันนี้กำลังน่าห่วงใยยิ่งนัก แต่เราก็ควรต้องขอบคุณ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่ตรวจพบและประกาศว่าจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง ต้องขอบคุณ ผู้คุมสอบ ที่มีสายตาคมกริบ สามารถจับทุจริตครั้งนี้ได้ แม้จะน่าเห็นใจที่มหาวิทยาลัยต้องมีภาระเพิ่มมากขึ้นในการดำเนินการสอบอีกครั้งหนึ่งก็ตาม แต่การพบทุจริตครั้งนี้ก็เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

ที่น่าเห็นใจอย่างมากเช่นกัน ก็คือผู้เข้าสอบที่บริสุทธิ์อีก 3 พันคน ซึ่งต้องสอบใหม่อีกครั้งหนึ่ง เราทุกคนทราบดีว่าการเตรียมสอบนั้น เป็นเรื่องที่กดดันและเคร่งเครียดขนาดไหน เมื่อสอบเสร็จแล้ว เราจะรู้สึกโล่งใจ คราวนี้กลับกลายเป็นว่าต้องกลับมาเตรียมสอบใหม่ ต้องเคร่งเครียดอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนั้น ผู้เข้าสอบบางคน ซึ่งทำข้อสอบครั้งที่แล้วได้ดี ยังมีความเสี่ยงว่าจะสามารถทำข้อสอบครั้งใหม่นี้ ได้ดีเท่าเดิมหรือไม่ อีกด้วย

ความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งในเรื่องเวลา เงินทองและจิตใจ ของบุคคลจำนวนมาก ของสถาบันการศึกษา และสังคมในครั้งนี้ ขอให้เจ้าหน้าที่ ดำเนินการให้ถึงที่สุด เพื่อเยียวยาสังคมและผู้เสียหายทุกฝ่าย เพราะถ้าหากยังย่อหย่อนต่อไป เราอาจจะเห็นสังคมไทย ก้าวสู่อีกระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นคำถามที่ผมได้ตั้งไว้ในหัวข้อเรื่องนี้ว่า “อยากเป็นเช่นนั้นหรือ”

เป็นเช่นนั้นคือเช่นใด....ผมจะยกตัวอย่างจริงๆ ที่เกิดขึ้นครับ 

เมื่อ 3 ปีที่แล้วนี่เอง เดือนมิ.ย. 2556 ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของประเทศจีน ซึ่งมีสถานที่สอบมากกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ ปรากฏว่า สนามสอบที่ มณฑลหูเป่ย์ ซึ่งในอดีตเคยมีการโกงสอบค่อนข้างมาก เจ้าหน้าที่จึงเข้มงวดมากเป็นพิเศษ

มีการตรวจอุปกรณ์โลหะทุกชนิด พร้อมยึดโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์ใดๆ ที่ส่งเสียงร้องจากการตรวจโลหะ นักเรียนหญิง ก็ถูกตรวจค้นตามร่างกายอย่างละเอียด นอกจากนั้น 3 สัปดาห์ก่อนถึงวันสอบ เจ้าหน้าที่ประกาศเตือนว่าแม้เสื้อชั้นในของนักเรียนหญิง ถ้าหากถูกตรวจพบว่ามีโลหะ ก็ต้องถอดออกก่อนที่จะเข้าสอบเช่นกัน ฯลฯ

ปรากฏว่าพ่อแม่ ที่พานักเรียนไปสอบ ต่างเฝ้ารออยู่ด้านนอกด้วยความกระวนกระวายใจ เมื่อการสอบเสร็จสิ้นลง นักเรียนทั้งหลายออกมาเล่าให้พ่อแม่ฟังว่าโดนตรวจค้นเข้มข้นเพียงใด เชื่อหรือไม่ครับว่านั่นกลายเป็นการสร้างความโกรธแค้นให้แก่พ่อแม่และผู้ปกครองจำนวนมาก

พ่อแม่ ผู้ปกครอง และนักเรียน รวมกัน 2,000 คน ก็เลยแปรสภาพเป็น “ฝูงชน” บุกเข้าไปในโรงเรียน ทุบทำลายรถยนต์ แล้วกักขังครูผู้คุมสอบ ประกาศลั่นว่าพวกเขาได้ถูกริดรอน “สิทธิที่จะโกง” เพราะการตรวจอย่างละเอียดเช่นนั้น ทำให้บุตรหลานของพวกเขาต้อง “เสียเปรียบ” คนที่ยังโกงได้อยู่

พูดง่ายๆ ว่า เรียกร้อง “สิทธิที่จะโกง” ให้เท่าเทียมผู้อื่นแหละครับ ก็ในเมื่อคนอื่นๆ ต่างก็โกงกันมากมาย จะปล่อยให้คนที่ไม่โกงเสียเปรียบอย่างนั้นหรือ ต้องปล่อยให้โกงอย่างทั่วถึงกันจึงจะยุติธรรม....ฟังแล้ว เศร้าใจไหมครับ

จากจีน เราไปประเทศอินเดียกันบ้าง เมื่อเดือนมี.ค. 2558 นี่เอง มีการสอบมัธยมศึกษาปีที่ 4 ระดับประเทศ นักเรียนเข้าสอบ กว่า 1.4 ล้านคน สนามสอบ 1200 แห่ง เห็นภาพที่ผมนำมาลงประกอบนี่ไหมครับ รู้ไหมว่าเขาทำอะไรกัน ที่เห็นนี่ ไม่ใช่คนงานก่อสร้างกำลังทำงานกันอยู่นะครับ

มันคือภาพสนามสอบที่ แคว้นพิหาร ซึ่งพ่อแม่จำนวนมากมายกำลังปีนป่ายภายนอกอาคาร 5 ชั้นอย่างโกลาหล เพื่อแย่งกันไปหาลูกหลานที่กำลังนั่งสอบข้อเขียนอยู่ในอาคารนั้น โดยมีเจตนาคือไปช่วยลูก “โกงสอบ” ด้วยวิธีต่างๆ เช่นส่งกระดาษคำตอบให้บ้าง หรือด้วยยุทธวิธีโกง ต่างๆ นานา

ทำกันอล่างฉ่างอย่างนี้แหละครับ งามหน้าเพียงใด คิดเอาเองก็แล้วกัน และผมขอถามคนไทยทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องว่า อยากเห็นภาพเช่นนี้หรือไม่ ถ้าหากเราไม่ทำอะไรให้จริงจังและเข้มข้นกว่านี้ ถ้าเราปล่อยให้การโกงสอบที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ผ่านไปเหมือนสายลม ภาพอย่างนี้ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ในบ้านเรา แล้วเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน จะคืนบัตรประชาชนได้ที่ใคร

มองย้อนหลังสิครับ สอบมัธยมศึกษาทั่วประเทศ เราก็โกงกันมาแล้ว สอบเป็นนายตำรวจ ก็โกงกันมาแล้ว สอบเป็นครูผู้ช่วย ก็โกงกันมาแล้ว อาชีพสำคัญทั้งนั้น และแต่ละกรณีก็มีผู้เกี่ยวข้องหลายร้อยคน วันนี้ลามมาถึงการสอบเป็นนักศึกษาแพทย์ ถ้าเราไม่ทำอะไร.....แล้วเราจะเหลืออะไร

ถ้ายังละเลยและปล่อยเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานพ่อแม่บางคน ก็คงจะได้แย่งกันปีนกำแพงตึกไปช่วยลูกโกงสอบ เหมือนดังที่เห็นในภาพนี้แหละครับ

ฝึกฝีมือและฝีเท้า ไว้ให้ดีก็แล้วกัน