จับตาเปลี่ยนประธานอคส. จับตาขายข้าวหลวง
ในที่สุดกระทรวงพาณิชย์ ก็ไม่สามารถปิดบัญชีโครงการจำนำข้าว
ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ลงและต้องขอครม. ต่ออายุการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าวทุกเม็ด ออกไปอีกหนึ่งปีสิ้นสุดรอบบัญชี 30 ก.ย.ปีหน้า
กรอบวงเงินที่เคยอนุมัติไว้ 5 แสนล้านบาท แต่ใช้เงินไปทั้งสิ้น 8.8 แสนล้านบาท แม้มีการหมุนเวียนขายข้าวมาคืนแล้ว แต่ยังเกินกรอบวงเงินอยู่ 1.8 หมื่นล้านบาท
ตัวเลขปิดบัญชีเฉพาะโครงการของน.ส.ยิ่งลักษณ์เบื้องต้น ก่อนงวดล่าสุดขาดทุน 5.3 แสนล้าน ถ้าหากรวมล่าสุดเข้าไปด้วยในขณะที่ข้าวยังขายไม่ได้ตามเป้า ต้องจ่ายค่าเก็บรักษาทุกวัน 30-40 ล้านบาท ตัวเลขความเสียหายอาจพุ่งสูงกว่า 5.5แสนล้าน และจะไปไกลมากกว่านั้นหากยังระบายข้าวไม่ได้
ตัวเลขขาดทุนหรือความเสียหายโครงการจำนำข้าวขึ้นอยู่กับการขายข้าว โดยรับจำนำมาในราคาข้าวเปลือก 1.5หมื่นบาทต่อตันคิดเป็นราคาข้าวสาร 2.4 หมื่นบาทต่อตัน ถ้าหากราคาตลาดข้าวอยู่ที่ตันละ 1.2 หมื่นบาททุก1ล้านตันที่ขายออกไปนั่นหมายถึงขาดทุน 1.2หมื่นล้านบาทสะสมยอดขาดทุนไปเรื่อยๆไม่รวมค่าเช่าโกดัง
ทีดีอาร์ไอเคยประเมินไว้ว่าหากระบายข้าวได้หมดภายใน 3 ปี ตัวเลขความเสียหายใกล้เคียงหรืออยู่ระหว่าง 6-7 แสนล้านบาท ซึ่งรูปการณ์ในขณะนี้ตัวเลขคงไม่หนีจากนี้มากนัก โดยการระบายข้าวที่ผ่านมาปีเศษของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ทำอย่างเต็มขีดความสามารถได้แค่ 4 ล้านตันเศษ เหลือข้าวในสต็อกกว่า 12 ล้านตัน
การระบายข้าวไม่ง่าย ท่ามกลางภาวะราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำทั่วโลก หากระบายมากไปจะกระทบกับราคาข้าวใหม่จากชาวนาที่ออกสู่ท้องตลาดให้ราคาตกต่ำลง จึงต้องผสมผสานหลายแนวทางในการตัดสต็อกออกไป
ในสต็อกข้าวของรัฐแยกออกเป็นข้าวเกรดซีและข้าวเสียปริมาณ 5.89 ล้านตัน เป็นข้าวเกรดซี 4.6 ล้านตันและข้าวเสีย 1.29 ล้านตันซึ่งมีวิธีที่วางกันไว้คือขายแบบยกคลังหรือแยกขาย ถ้าขายยกคลังคละได้ราคาถูกกว่า ถ้าแยกข้าวออกมาขายภาระเยอะกว่า
ประเมินกันว่าในการแยกคุณภาพข้าวในแต่ละกองเป็นรายกระสอบ มีต้นทุนในการคัดแยกจากค่าแรงกระสอบละ 12 บาทค่าเซอร์เวเยอร์ในการตรวจคุณภาพข้าววันละ 12,000 บาทต่อ 1 สาย ทำให้การคัดแยกมีต้นทุนตกอยู่ที่กระสอบละ 16 บาทยังไม่รวมค่าดำเนินการอื่นๆและต้องใช้เวลาเป็นปีกับข้าวปริมาณมหาศาล
แต่ที่ต้องมาตรวจสอบและทดลองการคัดแยก เพราะมีหลายฝ่ายแสดงความกังวลว่าการระบายแบบยกคลัง จะทำให้รัฐเสียหายจึงต้องมาทำให้เห็นว่า การขายแบบไหนจะคุ้มค่ากว่าและรัฐได้ประโยชน์สูงสุด
กระทรวงพาณิชย์โดยอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์รายงานครม.เมื่อปลายเดือนก่อน ยังขอเวลาตัดสินใจแนวทางการระบายข้าวอีก 1เดือน
ก่อนหน้านี้พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ อดีตรมว.พาณิชย์ ได้มีแผนจะระบายข้าวเสื่อมสภาพสิ้นเชิง โดยมีความพยายามที่จะนำข้าวเสื่อมที่เป็นฝุ่นผงปริมาณ1แสนตันไปทำชีวมวล แต่มีการวิจารณ์ว่าจะทำให้รัฐเสียประโยชน์ เพราะอาจมีเอกชนอาจนำไปขายต่อทำกำไรในราคาที่สูงกว่า ทำให้แผนระบายข้าวดังกล่าวชะลอออกไป
การระบายข้าวมีปัญหาทุกยุคทุกสมัยเพราะผลประโยชน์เบี้ยบ้ายรายทางมากมายมหาศาล ออกซ้ายก็เจ็บก็ออกขวาก็ระทม
ถ้าใครคิดหาประโยชน์ขอส่วนต่างแค่กิโลละ 1 บาทนั่นหมายถึงเงิน 100 ล้านบาทในทุก 1 ล้านตันที่ข้าวหลวงถูกขายออกไป
องค์การคลังสินค้า(อคส.) กรมการค้าต่างประเทศ มีบทบาทสำคัญในการระบายข้าว ยุคนี้ จินตนา ชัยวรรณาการนั่งประธานบอร์ดอคส.
จินตนาเป็นคนตรงไปตรงมา คสช.ตั้งมาเป็นอธิบดีกรมการค้าภายในก่อนเกษียร 2-3 เดือนเมื่อปีก่อน และมาช่วยดูแลเรื่องข้าวในฐานะประธานอคส. และได้ไล่เบี้ยดำเนินคดีกับผู้กระทำการเรื่องข้าวมิชอบไปหลายราย
จับตาดีๆ ปัญหาสุขภาพ ปัญหาเรื่องส่วนตัว กำลังจะทำให้จินตนาพ้นจากประธานอคส.
เรื่องแบบนี้ยังเป็นเรื่องคลาสสิคเสมอ เมื่อคนหนึ่งคนต้องพ้นจากตำแหน่ง
โปรดอย่ากระพริบตา การขายข้าวหลวงนับจากนี้
ปราการด่านสุดท้ายจะตกกับกรมการค้าต่างประเทศ
ใครจะทลายด่านสุดท้ายนี้ ...................?