กระบวนการปรับโครงสร้าง ศก.ไทยจากมุมมองตลาดแรงงานหายไปไหน?

กระบวนการปรับโครงสร้าง ศก.ไทยจากมุมมองตลาดแรงงานหายไปไหน?

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทาย “กับดักของประเทศรายได้ปานกลาง” (Middle-income Trap)

และประสบปัญหาการลดลงของผลิตภาพแรงงานและกำลังแรงงาน โดยอย่างหลังเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของไทยที่จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเร็ว ทำให้เกิดปรากฏการณ์แก่ก่อนที่จะรวย” นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการขาดแคลนแรงงานทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพด้วย ซึ่งล้วนเป็นข้อจำกัดต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย (Structural Transformation)เพื่อก้าวข้ามพัฒนาการเศรษฐกิจไทยสู่ระดับที่สูงขึ้นเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามว่า แล้วกระบวนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยจากมุมมองตลาดแรงงานในปัจจุบันเป็นอย่างไร?และในระยะสั้นหากประเทศเราไม่สามารถเพิ่มการลงทุน หรือเปลี่ยนไปผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงได้ในทันที เราจะมีวิธีการใดทำให้กระบวนการนี้กลับมาได้บ้าง?

บทความนี้จะตอบคำถามข้างต้นโดยแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกพูดถึงความสำคัญและสถานะปัจจุบันของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยส่วนที่สองชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเติบโตของเศรษฐกิจ ผลิตภาพแรงงานและการเคลื่อนย้ายแรงงานและส่วนที่สามนำเสนอแนวทางที่จะทำให้กระบวนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มผลิตภาพแรงงานให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง

1.ความสำคัญและสถานะปัจจุบันของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งด้านการผลิต การใช้ปัจจัยการผลิตทั้งแรงงานและทุน และโครงสร้างการตลาด ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญของการเพิ่มระดับรายได้ประชาชาติ ให้สูงกว่าการเพิ่มขึ้นของประชากร ซึ่งจะทำให้มาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชนส่วนใหญ่ดีขึ้นกว่าเดิม จากงานศึกษาของ ADB (2013) ด้านAsia’s Economic Transformation ชี้ว่า คุณลักษณะร่วมที่มักพบจากประสบการณ์ของประเทศที่สามารถก้าวข้ามไปเป็นประเทศพัฒนาแล้ว หรือประเทศในเอเชียที่พัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างก้าวกระโดดในช่วง 4-5 ทศวรรษ เช่น ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และจีน คือ 1) มีสัดส่วนของภาคเกษตรซึ่งมีผลิตภาพต่ำในด้านผลผลิตและการจ้างงานลดลง และ 2) มีสัดส่วนของภาคอุตสาหกรรมและบริการซึ่งมีผลิตภาพสูงกว่าภาคเกษตรเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังมีคุณลักษณะสำคัญอื่นๆ เช่น มีสินค้าและบริการที่ผลิตส่วนใหญ่หลากหลายและสลับซับซ้อน (Diversification)มีการยกระดับการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ (Upgrading)รวมทั้งมีการเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิต (Deepening)ทั้งในประเทศและฐานการผลิตในต่างประเทศได้

ผลงานวิจัยสรุปได้ว่า*หากเราแบ่งเศรษฐกิจไทยในช่วง 40 กว่าปีที่ผ่านมาเป็น 4 ช่วง คือ ช่วงเศรษฐกิจเติบโต (1972-1986)ช่วงเฟื่องฟูก่อนวิกฤติ (1987-1996) ช่วงหลังวิกฤติเศรษฐกิจ (1997-2000)และช่วงปัจจุบัน (2001-2014) พบว่าเศรษฐกิจไทยได้ปรับโครงสร้างอย่างต่อเนื่อง พัฒนาจากสังคมเกษตรกรรมมาเป็นสังคมอุตสาหกรรมและบริการ (ภาพที่ 1)ด้านโครงสร้างการผลิต ไทยมีสัดส่วนของภาคเกษตรใน GDP ลดลงจากร้อยละ20 ในช่วงเศรษฐกิจเติบโต เหลือเพียงร้อยละ 9 ในช่วงปัจจุบันขณะที่ภาคอุตสาหกรรมและบริการ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 39และ 52ตามลำดับ

ในทางตรงกันข้าม ด้านโครงสร้างการจ้างงานปรับตัวช้า ในปัจจุบันสัดส่วนแรงงานในภาคเกษตรซึ่งมีผลิตภาพต่ำลดลงแต่ยังอยู่ระดับสูงที่ร้อยละ 40 ขณะที่สัดส่วนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมซึ่งมีผลิตภาพสูงเพิ่มขึ้นช้าเป็นร้อยละ 15 และเกือบครึ่งหนึ่งของแรงงานทั้งหมด อยู่ในภาคบริการเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากช่วงเศรษฐกิจเติบโต สะท้อนถึงแรงงานส่วนใหญ่มีทักษะอยู่ในระดับต่ำ ทำให้เกิดปัญหาเชิงโครงสร้างการผลิตที่ไม่สามารถก้าวข้ามไปเป็นประเทศที่ผลิตด้วยนวัตกรรมได้ ทั้งนี้ ในประเทศที่พัฒนาแล้วสัดส่วนของภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรมใน GDP และการจ้างงานจะต่ำกว่าร้อยละ 5 และไม่น้อยกว่าร้อยละ 18 ตามลำดับ

หากมาดูในเชิงผลิตภาพแรงงานซึ่งคือความสามารถในการทำงานของปัจจัยการผลิตด้านแรงงาน จะเห็นว่า ในปัจจุบันอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานไทยลดลงมาก จากช่วงเฟื่องฟูก่อนวิกฤติ โดยการขยายตัวของผลิตภาพแรงงานของภาคอุตสาหกรรมยังสูงกว่าภาคอื่น แต่เป็นที่น่ากังวลคือ การขยายตัวของผลิตภาพแรงงานของภาคบริการ ทั้งในปัจจุบันและช่วงเฟื่องฟูก่อนวิกฤติ อยู่ต่ำกว่าของภาคเกษตร สะท้อนถึงปัญหาของความรู้และทักษะของแรงงาน ตลอดจนสภาพแวดล้อมในการผลิตของผู้ประกอบการในภาคนี้

2.ความสัมพันธ์ระหว่างการเติบโตของเศรษฐกิจ ผลิตภาพแรงงานและการเคลื่อนย้ายแรงงาน ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจมีทิศทางเดียวกันกับอัตราการขยายตัวของผลิตภาพแรงงานสูง ในปัจจุบันเศรษฐกิจไทยขยายตัวช้าและต่ำกว่าศักยภาพ ขณะเดียวกัน อัตราการเติบโตของกำลังแรงงานลดลงต่อเนื่อง จากการคาดการณ์ในอีก 10 ปีข้างหน้า อัตรานี้จะลดต่ำลงจนเกือบเป็นศูนย์ (ภาพที่ 2) สะท้อนว่าโอกาสที่แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่มาจากการเติบโตของประชากร จะหมดไปเหมือนกับที่เกิดขึ้นในประเทศพัฒนาแล้วจึงเป็นเหตุให้ในระยะหลังมีการพูดถึงแนวทางการเพิ่มผลิตภาพแรงงานกันมากขึ้น

ในทางทฤษฎี อัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานอาจแบ่งเป็น 2ส่วน คือ อัตราการเติบโตของผลรวมของผลิตภาพแรงงานในแต่ละสาขาการผลิต (Within-sector Productivity)และการเปลี่ยนแปลงผลิตภาพแรงงานจากเคลื่อนย้ายแรงงาน(Labour Reallocation Productivity) จากที่ที่มีผลิตภาพต่ำอย่างเช่นภาคเกษตรไปยังที่ที่มีผลิตภาพสูงกว่า ทั้งในภาคอุตสาหกรรมและบริการ

หากใช้แนวคิGross Worker Flow โดยวิเคราะห์จากสถิติการเปลี่ยนแปลงจำนวนแรงงานสุทธิที่ย้ายเข้าและย้ายออกในแต่ละภาคการผลิตในแต่ละปีพบว่า ในภาพรวมอัตราการเคลื่อนย้ายแรงงานสุทธิลดลงอย่างต่อเนื่อง และในปัจจุบันเกือบเป็นศูนย์ ในแง่ของจำนวน การเคลื่อนย้ายสุทธิของแรงงานเข้าสู่ภาคบริการและอุตสาหกรรม ต่ำลงกว่าในช่วงเฟื่องฟูก่อนวิกฤติมาก(ภาพที่ 3) ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย ทั้งจากเศรษฐกิจโลก และจากปัญหาภายในประเทศ ทั้งการเมืองและน้ำท่วมใหญ่ ส่งผลให้ธุรกิจและตำแหน่งงานขยายตัวน้อย เป็นที่น่าสังเกตว่า มีแรงงานจำนวนมากเคลื่อนย้ายไหลกลับเข้าสู่ภาคเกษตร ซึ่งเป็นภาคที่มีผลิตภาพต่ำในช่วงที่มีนโยบายจำนำข้าวในช่วงปี 2012-2013

นอกจากนี้ ผลวิเคราะห์ระดับจุลภาคเชิงเศรษฐมิติด้วยโมเดล Multinomial Logit พบว่า    1) แรงงานจากภาคเกษตรที่อยู่ในระบบจะมีความยืดหยุ่นสูง ในการเคลื่อนย้ายเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมและก่อสร้าง2)แรงงานที่มีการศึกษามัธยมศึกษาปลายและอาชีวศึกษามีโอกาสเคลื่อนย้ายสูงกว่ากลุ่มการศึกษาอื่นๆ และ3)อัตราค่าจ้างที่สูงขึ้นเป็นแรงจูงใจให้แรงงานตัดสินใจเคลื่อนย้ายไปทำงานในภาคการผลิตที่มีผลิตภาพสูง ซึ่งส่งผลให้ผลิตภาพแรงงานโดยรวมสูงขึ้น

3.แนวทางที่จะทำให้กระบวนการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน ด้วยกลไกการเคลื่อนย้ายแรงงานกลับมาอีกครั้งหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องปฏิรูปหลายภาคส่วนพร้อมๆ กัน ต้องใช้เวลาและต้องเริ่มให้เห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ใน 3 แนวทางหลัก คือ1) การสร้างโอกาสแก่แรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ โดยการพัฒนาทักษะการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดช่วงชีวิตการทำงาน เพื่อการมีงานทำอย่างมีคุณภาพ มีผลิตภาพสูง และลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ เช่น ส่งเสริม มาตรฐานฝีมือตามวิชาชีพ และสร้างระบบการศึกษาทวิภาคี(Dual System) ร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ในสาขาวิชาชีพที่จำเป็นต่อการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม 2) การปรับโครงสร้างการผลิต โดยเร่งลงทุนในโครงการวิจัยร่วมระหว่างบุคลากรวิจัยภาครัฐและเอกชน ให้เกิดสินค้าที่ผลิตด้วยนวัตกรรมเพื่อการค้าให้ได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการสร้างงานมากขึ้น และ 3) การปฏิรูปสถาบันด้านแรงงานโดยเฉพาะการกำหนดค่าจ้างให้เป็นไปตามผลิตภาพ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายพัฒนาคน เพื่อพัฒนาประเทศไทยอย่างแท้จริง

* หมายเหตุ: เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง กระบวนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันและทิศทางข้างหน้า: วิเคราะห์จากมุมมองตลาดแรงงานภายใต้โครงการวิจัยหัวข้อ Thailand’s Future Growthปี 2015จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และผลงานวิจัยฉบับสมบูรณ์จะเผยแพร่ใน websiteของ ธปท. เร็วๆ นี้

 

 --------------------

ดร.เสาวณี จันทะพงษ์