ก๋วยเตี๋ยว Heavy ธุรกิจจากใจ

ก๋วยเตี๋ยว Heavy ธุรกิจจากใจ

ก๋วยเตี๋ยว Heavy โมเดลธุรกิจของกิจการขนาดเล็ก ที่ใช้ความรักและความชอบ มาผสานการทำธุรกิจ สามารถสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าได้อย่างน่าทึ่ง

หากใครได้ผ่านไปแถววงเวียนใหญ่ แล้วพบกับ ร้านก๋วยเตี๋ยว Heavy ซึ่งมีคนขายแต่งตัวสไตล์ พี่แอ๊ด คาราบาว ยืนขายก๋วยเตี๋ยวและร้องเพลงของคาราบาวประกอบไปด้วย ไม่ต้องแปลกใจ เจ้าของร้านที่ดูแล้วช่างเหมือนฝาแฝดพี่แอ๊ด คาราบาว คือ “คุณเอก” ผู้เป็นเจ้าของกรณีศึกษาในครั้งนี้

คุณเอกเล่าให้ฟังว่า ครอบครัวมีอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ โดยคุณเอกนั้น ชื่นชอบในการเล่นดนตรีและมีพี่แอ๊ดเป็นไอดอล จึงลงทุนเก็บออมซื้อกีต้าร์จากเงินค่าขนมตั้งแต่เด็ก และฝึกซ้อมอย่างหนัก โดยมีความฝันว่า จะเป็นนักร้องที่มีคอนเสิร์ตของตัวเองตามอย่างนักร้องในดวงใจ

แต่แล้ววันหนึ่งคุณพ่อได้มาขอร้องให้เขามาช่วยขายก๋วยเตี๋ยว เพราะผู้เป็นพ่อเริ่มทำไม่ไหว ด้วยความเป็นลูกกตัญญู เขาจึงตัดสินใจล้มเลิกทางเดินสายดนตรีแล้วหันมาเป็นพ่อค้าแทน

คุณเอกเล่าว่า ในช่วงแรกก็ขายก๋วยเตี๋ยวตามที่คุณพ่อเคยทำมา โดยใช้ชื่อเดิม ขายแบบเดิม ตั้งแต่ สองทุ่มถึงตีสอง ของหมดบ้าง เหลือบ้าง บางส่วนสามารถเก็บไว้ขายในวันรุ่งขึ้นได้ แต่บ้างส่วนก็ต้องทิ้งไป คุณเอกบอกว่า เป็นเพราะไม่ได้มีใจแต่ทำด้วยหน้าที่

จนกระทั่งวันหนึ่งขณะขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ มีรถกระบะขับผ่านแล้วเปิดเพลงบัวลอย ทำให้คุณเอกเกิดแรงบันดาลใจในการปรับปรุงธุรกิจขายก๋วยเตี๋ยวใหม่ นี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของก๋วยเตี๋ยว Heavy

เขาเริ่มจากเปลี่ยนชื่อร้านก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋น มาสู่ “ก๋วยเตี๋ยว Heavy” ทาสีร้านใหม่เอี่ยม ปรับรูปแบบการแต่งตัวของตัวเองใหม่ให้เหมือนไอดอล มีเปิดเพลงของคาราบาวประกอบ เวลาลูกค้าเข้าร้าน คุณเอกจะกล่าวทักทายว่า

“ยินดีต้อนรับสู่คอนเสิร์ตลีลาดนตรีบนเส้นก๋วยเตี๋ยวครับ วันนี้มาดูคอนเสิร์ตกันนะครับ เดี๋ยวผมจะบรรเลงดนตรีบนเส้นก๋วยเตี๋ยวให้ดูครับ”

ลีลาการทำก๋วยเตี๋ยวของคุณเอกก็มีเอกลักษณ์ อยู่ที่การใช้ที่ลวกก๋วยเตี๋ยวแทนกีต้าร์ โซโลไปพร้อมกับเสียงร้องเพลงคาราบาวของคุณเอก ทำเอาพี่แอ๊ด คาราบาว ต้องมาทานก๋วยเตี๋ยวที่ร้านเพื่อมาดูคอนเสิร์ตกันเลยทีเดียว

จากการสอบถามลูกค้าของร้าน ลูกค้าหลายท่านให้ข้อมูลสอดคล้องกันว่า ในครั้งแรกมารับประทานก๋วยเตี๋ยวเพราะว่า ได้ยินเรื่องราวความมีเอกลักษณ์ของคุณเอกจึงเกิดความสนใจอยากมาดูมาลอง แต่เมื่อมาแล้วประทับใจมาก จากบริการที่ดี ลูกค้าเล่าว่า คุณเอกมีมารยาทเรียบร้อยมากๆ จะโค้งให้ลูกค้าทุกครั้ง พร้อมกับบอกว่า มาฟังคอนเสิร์ตกันเยอะๆ นะครับ เดินทางกลับบ้านปลอดภัยนะครับ

จากคนที่อยากมาลอง กลายเป็นลูกค้าประจำเพราะว่า รู้สึกผูกผัน สนิทกับคุณเอก เป็นเหมือนเพื่อนกัน ลูกค้าบางท่านบอกว่า เหมือนมาดูคอนเสิร์ตแล้วทานก๋วยเตี๋ยวไปด้วย

คุณเอกเล่าว่า จากการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงธุรกิจนี้เอง ทำให้ไม่ต้องขายก๋วยเตี๋ยวถึงตีสองอีกแล้ว แต่มีลูกค้ามาอุดหนุนถึงคืนละประมาณ 300 คน ดังนั้นหากเปิดสองทุ่ม ภายในห้าทุ่มของก็หมดแล้ว นอกจากนั้นคุณพ่อก็ไม่ต้องลงมาช่วยเหมือนเดิม สามารถพักผ่อนได้มากขึ้น

เรื่องราวก๋วยเตี๋ยว Heavy ดังไกลไปถึงต่างประเทศ ทำให้ปัจจุบันมีกลุ่มลูกค้ายุโรป โดยเฉพาะฮังการี มารับประทานที่ร้านเพิ่มมากขึ้น เรียกได้ว่า ลูกค้าต่างชาติบางรายเป็นแฟนพันธุ์แท้ที่ต้องมาอุดหนุนทุกครั้งที่เดินทางมาประเทศไทยเลยทีเดียว

จากกรณีศึกษาก๋วยเตี๋ยว Heavy สะท้อนให้เห็นโมเดลธุรกิจ ที่ถึงแม้ว่า จะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก แต่การสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าไม่ใช่เรื่องยาก

หลายๆ ครั้ง ที่มักมีผู้ประกอบการขนาดเล็กมาถามว่า จะทำอย่างไรให้แตกต่าง ทำอย่างไรให้ลูกค้าซื้อของ ทั้งที่มีครบทั้ง 4P แล้ว แต่ลูกค้าก็ยังไม่สนใจ โมเดลธุรกิจนี้จึงเป็นหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นว่า

การสร้างคุณค่าเริ่มได้ง่ายๆ จากการเริ่มถามตัวเองก่อนว่า เรามีอะไรที่เป็นจุดเด่น อะไรคือ Core competency อะไรที่เราทำได้ดี ซึ่งเวลาที่เจ้าของรักและทำในสิ่งที่รัก จะตั้งใจทำอย่างดี ทั้งของและบริการที่ส่งมอบให้ลูกค้าก็มักจะออกมาดี 

แค่นี้ก็เป็นคุณค่าที่ลูกค้าสัมผัสและรับรู้ถึงความแตกต่างได้

(เครดิต: การสัมภาษณ์คุณเอก โดย คุณสองพล รัตนเกษตรสิน นักศึกษาปริญญาโท สาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล)