(เขาว่า) นี่คือนิสัยไทยๆ...ที่เป็น อุปสรรคต่อการพัฒนาชาติ

(เขาว่า) นี่คือนิสัยไทยๆ...ที่เป็น อุปสรรคต่อการพัฒนาชาติ

ใครไม่รู้โพสต์ข้อความใน Facebook วันก่อน พูดถึง “นิสัยไทยๆ ที่ทำให้ไทยไม่พัฒนา”

อ่านแล้วผมต้องไปถกแถลงกับเพื่อนที่เป็นคนไทยเหมือนกัน อย่างถึงพริกถึงขิง

เพราะข้อความนั้นบอกว่า “นิสัยไทยๆ” ที่ทำให้ประเทศนี้ไม่เจริญก้าวหน้า มีอยู่ 8 ข้อ ดังต่อไปนี้

- ยึดถือระบบอุปถัมภ์

- เฮฮาไว้ก่อน

- ขี้เกียจ รักสบาย

- ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง

- ชอบพึ่งพาคนอื่น

- ฟุ่มเฟือย

- ไม่ตรงต่อเวลา

- สามัคคี คือ พัง (ไม่ใช่พลัง)

ผมอ่านแล้ว ก็ไปถามเพื่อนฝูงหลายคนว่าเห็นด้วยกับ “ข้อกล่าวหา” เหล่านี้หรือเปล่า

เกือบทั้งหมดไม่ยอมแสดงความเห็น ส่วนใหญ่ยิ้มให้ผม พร้อมกับตีสีหน้าเหมือนผมช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน

บางคนถามผมว่า “ใครบอกว่าประเทศไทยไม่พัฒนา? เราดีกว่าเพื่อนบ้านอีกหลายประเทศ จะต้องเดือดร้อนอะไรหนักหนา?”

ผมได้ยินก็เตรียมจะคิดถึงเหตุผลข้อที่ 9 แต่ไม่กล้าแสดงความเห็น เพราะ “เกรงใจ” กลัวว่าเพื่อนจะไม่ยอมคบผม

นั่นคงเป็นเหตุผลข้อที่ 10 กระมัง

เพื่อนอีกบางคนที่ผมไปซักถาม ว่าเขาเห็นด้วยกับข้อสรุปอย่างนี้หรือเปล่า ก็ตอบไปอีกทางหนึ่ง ว่า “ใครบอกว่านิสัยไม่ดีมีแค่นี้ ยังมีอีกเยอะที่แม้คนไทยเองก็ยังไม่ยอมรับกัน”

ทำให้ผมสงสัยว่าตกลงแล้วประเทศไทยเรานี่อยู่ในระดับ “พัฒนา” หรือ “กำลังพัฒนา” หรือ “ด้อยพัฒนา” เพราะดูเหมือนว่าจะไม่มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ ว่า ณ วันนี้เราอยู่ในสถานะอันใดกันแน่

เรื่องระบบอุปถัมภ์นี่ ผมเชื่อว่าคนไทยไม่น้อยจะต้องเถียงว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทย คนอื่นที่ไม่มีระบบเครือญาติเพื่อนฝูง หรือเพื่อนร่วมรุ่นอุปถัมภ์นี่ซิเป็นสังคมที่มีปัญหา

คนไทยอยู่ได้ด้วยเครือข่ายของคนรู้จักมักคุ้น ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน จึงสามารถอยู่ได้ถึงทุกวันนี้

เพื่อนอีกคนหนึ่งเถียงขึ้นมาทันทีว่า เพราะระบบอุปถัมภ์นี่แหละ บ้านเมืองจึงได้มีคอร์รัปชันกันบานเบอะอย่างนี้ ประเทศชาติจึงย่ำอยู่กับที่ เพราะมีแต่การเล่นเส้นเล่นสายกันจนไม่เคารพในความรู้ความสามารถ

เพียงแค่ “ข้อกล่าวหา” ข้อเดียว ผมก็ฟังความเห็นขัดแย้งมากมายหลากหลาย เพราะว่าวัฒนธรรม “วิพากษ์ตนเอง” ไม่ใช่เรื่องปกติของวิถีความเป็นคนไทย จึงเป็นเรื่องยากที่สังคมไทยจะวิเคราะห์ตนเองอย่างลุ่มลึก เพื่อนำไปสู่การแก้ไขและปรับปรุงให้เข้าสู่ระดับ “พัฒนา” อย่างเป็นระบบ

ใครจะกล้าไปบอกเพื่อนร่วมชาติ ว่า “ขี้เกียจ รักสบาย” หรือ “ไม่ตรงต่อเวลา” เป็นนิจศีลเล่า เพราะถ้าพูดจากันในหัวข้อเหล่านี้ ก็จะเกิดปัญหาของความไม่สมานฉันท์

“ความสามัคคี” ที่ควรจะเป็นพลังอันสำคัญยิ่งของการทำงานร่วมกันจะไม่เกิด เพราะว่าเกิด “อาการหมั่นไส้” ขึ้นมาเสียก่อน

อารมณ์ “หมั่นไส้” นี่แหละรุนแรงนัก ไม่ค่อยจะมีเหตุมีผล และบ่อยครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมคนไทยคนหนึ่ง จึง “ไม่ชอบหน้า” คนไทยอีกคนหนึ่งขึ้นมา เพียงเพราะ “หมั่นไส้” กันเท่านั้น

การทำงานเป็นกลุ่มจึงไม่ค่อยสำเร็จ (ยกเว้นทีมวอลเลย์บอลหญิง) และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องทำงานคนเดียว ก็เอาแน่ไม่ได้ว่าจะลุล่วงในหน้าที่งานการได้ เพราะไม่ชอบความเปลี่ยนแปลง หรืออะไรก็ตามแต่ที่ตนไม่คุ้นเคยและไม่คุ้นชิน

บริษัทห้างร้านของไทยที่ไปตั้งสำนักงานในต่างแดน จึงบ่นให้ฟังบ่อยๆ ว่า พนักงานคนไทยไม่ค่อยยอมให้ส่งไปทำงานต่างประเทศ หรือไม่ก็พยายามหลีกเลี่ยงการต้องทำงานกับคนอื่น หรือในบรรยากาศอื่น ที่ไม่สามารถจะ “เฮฮาประสาไทย” ได้

คุณว่า...เขากล่าวหาคนไทย ว่า “นิสัยไม่พัฒนา” มากเกินความจริงไปหรือเปล่า?