2025 ภาษีทรัมป์เปลี่ยนโลก (3) ‘จีน’ งัดไพ่เด็ดแก้เกมสหรัฐ

2025 ภาษีทรัมป์เปลี่ยนโลก (3) ‘จีน’ งัดไพ่เด็ดแก้เกมสหรัฐ

แม้ทรัมป์ดูเหมือนจะคุมเกมการและสงครามการค้าในปี 2025 แต่นักวิเคราะห์มองว่า "จีน" ต่างหากคือผู้ได้ผลประโยชน์มากที่สุด เพราะมีทั้งไพ่เด็ด "แรร์เอิร์ธ" และไพ่อันตราย

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ ถือเป็นหนึ่งในบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งปี 2025 ก็ว่าได้ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรหรือทำอะไร โลกต้องจับตา เพราะทุกความเคลื่อนไหวของเขาแทบจะส่งผลกระทบเกือบทุกอย่าง ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือน ม.ค. ทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารมากมาย และเขียนกติกาการค้าขึ้นใหม่ กดดันคู่ค้าที่ไม่ใช่แค่กับจีนเท่านั้น แต่กับประเทศพันธมิตรด้วย อย่างไรก็ตาม ดิอีโคโนมิสต์มองว่า เกมการค้าที่ทรัมป์คิดว่าตัวเองคุมอยู่นั้น ผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดไม่ใช่เขา แต่กลับเป็น “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” ของจีน

ปีนี้จีนได้ท้าทายความพยายามของทรัมป์ที่ใช้ภาษีบีบให้จีนยอมจำนน และพลิกเกมด้วยการแสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วอเมริกาพึ่งพาจีนมากเพียงใด ดังนั้นในศึกชิงความเป็นมหาอำนาจในศตวรรษที่ 21 นี้ อาจเป็นชัยชนะของ “จีน”

ปี 2025 แสดงให้เห็นถึงพลังของการควบคุมอุตสาหกรรมอย่างเบ็ดเสร็จของจีน สัดส่วนมูลค่าเพิ่มภาคการผลิตของโลกของจีนเกินกว่าหนึ่งในสามของโลก ทำให้จีนมีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกได้ในชั่วข้ามคืน

ในด้านเทคโนโลยีสีเขียว บริษัทจีนเป็นซัพพลายเออร์จัดหาวัสดุ ชิ้นส่วน และสินค้าสำเร็จรูปสำหรับแผงโซลาร์เซลล์ กังหันลม และรถยนต์ไฟฟ้าถึง 60-80% ส่วนปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) DeepSeek ก็แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่จีนสามารถทำได้ในด้านเอไอ แม้ว่าสหรัฐจะพยายามอย่างขัดขวางอย่างถึงที่สุดก็ตาม

บริษัทผลิตยาของจีนในปัจจุบันดำเนินการทดลองทางคลินิกเกือบเท่ากับบริษัทในสหรัฐและทำได้เร็วกว่า ขณะที่สองทศวรรษที่ผ่านมาบริษัทตะวันตกลงทุนในจีนเพื่อใช้ประโยชน์จากต้นทุนการผลิตถูกและตลาดขนาดใหญ่ และปัจจุบันพวกเขามีห้องปฏิบัติการในจีนมากขึ้น

ในปี 2025 สี จิ้นผิง แสดงให้เห็นด้วยว่าเขาพร้อมที่จะใช้ความเหนือกว่า  ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งความมั่งคั่ง แต่ยังเป็นแหล่งอำนาจด้วย ซึ่ง “มาตรการจำกัดส่งออกแร่หายาก” เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า จีนสามารถใช้ความต้องการพึ่งพาของประเทศอื่นเป็นอาวุธได้

ไพ่เด็ดสหรัฐ vs จีน

เนชันนัลอินเทอเรสต์มองว่าสงครามการค้ารอบนี้ทั้งสหรัฐและจีนต่างมีไพ่เด็ดที่แตกต่างกัน ไพ่เด็ดแรกของวอชิงตันคือ “การเรียกเก็บภาษีนำเข้า” สูงลิ่ว เพื่อจำกัดการเข้าถึงตลาดส่งออกขนาดใหญ่และทำกำไรได้มากที่สุดของจีน และไพ่ใบที่สองคือ “การจำกัดการเข้าถึงเซมิคอนดักเตอร์ล้ำสมัย” ที่จำเป็นต่อการสนับสนุนความพยายามทางเทคโนโลยีของจีน โดยเฉพาะเอไอ

ส่วนปักกิ่งมีไพ่เด็ดใบแรกคือ “แร่แรร์เอิร์ธ” จีนควบคุมเหมืองแร่หายากของโลกราว 60% และครองกำลังการถลุง-แปรรูปแร่ 90% เรียกได้ว่าเกือบผูกขาดผลิตภัณฑ์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเทคโนโลยีทันสมัย แต่ไพ่ที่สำคัญและอันตรายยิ่งกว่า คือ “การควบคุมห่วงโซ่อุปทานยาของโลก” ในสัดส่วนที่สูง

ทั้งปักกิ่งและวอชิงตันทราบดีว่ายิ่งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้ไพ่ที่มีอยู่มากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นการเชื้อเชิญให้ฝ่ายตรงข้ามใช้ไพ่ที่เหนือกว่าและพยายามอย่างหนักเพื่อลดทอนความได้เปรียบของฝ่ายตรงข้ามมากขึ้นเท่านั้น แต่การโต้กลับต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผล ดังนั้นศึกนี้จะยังคงยืดเยื้อไปอีก

ไพ่ที่เหนือกว่า

ที่ผ่านมาวอชิงตันใช้ไพ่ที่มีอยู่บ่อยกว่าปักกิ่ง ทรัมป์ใช้ไพ่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนมาตั้งแต่ดำรงตำแหน่งสมัยแรก ต่อมาในสมัยอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็ยังคงมาตรการเหล่านั้นไว้ และพยายามจำกัดการเข้าถึงเซมิคอนดักเตอร์ล้ำสมัยและอุปกรณ์ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของจีน

เมื่อทรัมป์กลับมาอีกครั้ง เขาได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนสูงกว่าเดิม เก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือกับเรือจีน และยังได้ปรับข้อจำกัดการค้าเซมิคอนดักเตอร์ต่อจีนของไบเดนให้เข้มงวดมากขึ้นอีกด้วย

เมื่อสหรัฐเดินเกมรุกไม่หยุดในปีนี้ จีนจึงงัดไพ่เด็ด “แร่หายาก” ออกมาใช้ โดยขู่ว่าจะตัดขาดอุปทานแร่ทั่วโลก จริงแล้วๆ รัฐบาลจีนได้เตรียมการเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ปลายปี 2024 และต้นปี 2025 ก็ออกมาตรการต่างๆ เช่น คุมการออกใบอนุญาตส่งออกแร่หายากเข้มงวดมากขึ้น และก่อนรัฐบาลจีนออกมาตรการดังกล่าวบริษัทเหมืองและโรงกลั่นต่างๆ ได้จำกัดการส่งออกก่อนแล้ว และนั่นได้รับความสนใจจากประเทศตะวันตก รวมถึงทำเนียบขาวในทันที หลังจากนั้นการเจรจาเพื่อรักษาอุปทานแร่ก็มีขึ้นอย่างรวดเร็ว

หลังจีนลีลาและส่งทีมไปเจรจาการค้ากับสหรัฐหลายครั้ง ในที่สุดสี จิ้นผิงกับทรัมป์ก็บรรลุข้อตกลงการค้าในระหว่างประชุมร่วมกันแบบตัวต่อตัว นอกรอบการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (เอเปค) ในเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 30 ต.ค. โดยสหรัฐลดภาษีสินค้าจีนเหลือ 47% และลดภาษียาเฟนทานิล 10% ขณะที่จีนให้คำมั่นผ่อนคลายข้อจำกัดแรร์เอิร์ธ

เมื่อทรัมป์กลับไปสหรัฐ ยังได้ประกาศผ่อนคลายมาตรการการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ไปยังจีนด้วย ซึ่งความเคลื่อนไหวนี้อาจมาจาการล็อบบี้ของบริษัทเอ็นวิเดียและเอเอ็มดี ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐ หรือไม่ก็เป็นการแสดงไมตรีจิตต่อจีน หรือทั้งสอง แต่ไม่ว่ามาจากวิธีใด ผลลัพธ์ก็เหมือนกัน และสิ่งที่เห็นได้ชัดคือ การประนีประนอมรอบนี้มาจาก “ไพ่ที่เหนือกว่า” ของจีน

เดินเกมทลายความได้เปรียบ

ในความเป็นจริงแร่ธาตุหายากทางเลือกนั้นไม่ได้หายากเหมือนชื่อเพราะแหล่งแร่หายากมีอยู่ทั่วโลก จีนผูกขาดตลาดนี้ไม่ได้หมายความว่าจีนมีทรัพยากรมากมาย แต่เป็นเพราะจีนยอมรับการทำเหมืองและการถลุงแร่ที่ก่อมลพิษสูง ทว่าการใช้ไพ่แร่หายากของจีน ทำให้ความกังวลเรื่องสิ่งแวดล้อมในตะวันตกถูกมองข้ามไป วอชิงตันเริ่มหาแร่ทางเลือกในประเทศและรัฐบาลจ่อให้เงินทุนแก่กลุ่มบริษัทร่วมทุนกับภาคเอกชน เพื่อลงทุนเกือบ 2 พันล้านดอลลาร์ในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ภายในประเทศ

ขณะที่เพนตากอนได้ลงนามสัญญากับ Ucore Rare Metals บริษัทแปรรูปแร่แคนาดาเพื่อสร้างโรงงานในลุยเซียนา เจพีมอร์แกนลงทุนบริษัทเหมือง Perpetua Resources ในไอดาโฮ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ และทรัมป์ลงนามบันทึกความเข้าใจกับมาเลเซียและไทย เพื่อพัฒนาการทำเหมืองและการถลุงแร่ รวมถึงลงนามข้อตกลงกับแอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียเพื่อส่งเสริมโครงการแรร์เอิร์ธในประเทศ และไม่นานมานี้ กลุ่มประเทศ G7 เพิ่งตกลงร่วมกันเพื่อหาแร่ทางเลือกอื่นที่ไม่ใช่จากจีน

เนชันนัล อินเทอร์เรสต์ มองว่า ความพยายามเหล่านี้จะค่อยๆ ทลายการผูกขาดแร่ของจีนในที่สุด แต่ขณะเดียวกันจีนก็เริ่มปฏิบัติการทลายการควบคุมเซมิคอนดักเตอร์ล้ำสมัยของสหรัฐเช่นกัน อย่างไรก็ตามหนทางนี้ยังอีกยาวไกลสำหรับปักกิ่ง ปัจจุบันจีนครองส่วนแบ่งตลาดชิปล้ำสมัยเพียง 23% เท่านั้น และการขาดแคลนชิปยังคงทำให้บริษัทเอไออย่าง DeepSeek ต้องเลื่อนการเปิดตัวเอไอรุ่นล่าสุดออกไป

อย่างไรก็ดีความพยายามแก้เกมด้านเทคโนโลยีของจีนมีความคืบหน้าบ้างแล้ว บางโรงงานได้พัฒนาวิธีการเชื่อมต่อชิปที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่าเข้าด้วยกันเพื่อทดแทนชิปล้ำสมัย และรัฐบาลจีนได้สั่งห้ามธุรกิจจีนใช้ชิปอเมริกันในประเทศ พร้อมลงทุนอย่างมากในการพัฒนาชิปทางเลือกที่ไม่ได้มาจากสหรัฐ และนั่นอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ตัดสินใจผ่อนปรนมาตรการจำหน่ายชิปให้จีน

ไพ่อันตราย

ไพ่เด็ดอีกใบของจีน คือ “การควบคุมห่วงโซ่อุปทานยา” ซึ่งเป็นไพ่ที่ไม่ได้ส่งผลแค่กับคู่แข่งเท่านั้น แต่อันตรายกับจีนเองด้วย อิทธิพลของปักกิ่งในอุตสาหกรรมยามีความซับซ้อนมากกว่าการจำกัดการเข้าถึงเซมิคอนดักเตอร์ต่อปักกิ่ง หรือการจำกัดการส่งออกแร่แรร์เอิร์ธต่อตะวันตกเสียอีก

การประชุมสุดยอดด้านสุขภาพของ Politico Europe เมื่อเร็วๆ นี้ เปิดเผยว่า เกือบครึ่งหนึ่งของยาสามัญในยุโรปมาจากประเทศจีน ขณะที่ข้อมูลของ Atlantic Council พบว่า ยาที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐจัดซื้อประมาณ 27% มาจากจีน และการนำเข้ายาปฏิชีวนะเพนิซิลลินและสเตรปโตมัยซินของสหรัฐ 90% ก็มาจากจีน นอกจากนี้ ประมาณ 40% ของการนำเข้าส่วนประกอบสำคัญในการผลิตยาของสหรัฐล้วนมาจากจีน ส่วนสารเคมีและตัวทำละลายที่จำเป็นในการผลิตยามากกว่า 40% ก็มาจากจีน และจีนยังเป็นผู้จัดหาส่วนประกอบยาสำหรับยาสำคัญประมาณ 700 ชนิดเพียงเจ้าเดียว ซึ่งตัวเลขเหล่านี้อาจต่ำกว่าความเป็นจริงเพราะสหรัฐต้องพึ่งพาส่วนประกอบยาจากจีนผ่านการนำเข้ายาจากอินเดียด้วย

สำหรับการแข่งขันในด้านนี้จีนยังไม่แสดงท่าทีว่าจะใช้เภสัชกรรมเป็นเครื่องมือ เพราะลังเลว่าการใช้เรื่องนี้เป็นอาวุธเสี่ยงกระทบความเชื่อมั่นด้านมนุษยธรรม และอาจเกิดการต่อต้านจากทั่วโลก แม้แต่การจำกัดส่งออกแร่หายากจีนยังยกเว้นแร่ที่ใช้สำหรับการแพทย์

ศึกในบ้านก็ต้องสู้

แม้จีนจะสามารถพลิกเกมการค้าได้ในปีนี้ แต่การใช้ไพ่เด็ดของจีนอาจได้ผลแค่ในระยะสั้น ดิอีโคโนมิสต์คาดว่าในระยะยาว ความสามารถในการปรับตัวของจีนอาจถูกบั่นทอนจากนโยบายทางการเมืองที่เข้มงวด เมื่อพิจารณาเศรษฐกิจของจีน พบว่า ราคาหน้าโรงงานลดลง 2.2% ในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และลดลงต่อเนื่องมา 38 เดือนแล้ว ขณะที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ในตลาดมือสองลดลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุดและยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์ให้คำมั่นว่าจะกระตุ้นความต้องการภายในประเทศในปีหน้า แต่ก็ยังคงเน้นไปที่การผลิตเชิงกลยุทธ์ ซึ่งเป็นแนวคิดที่จะทำให้จีนจมอยู่กับปัญหาการผลิตล้นตลาด

เมื่อมองไปที่มณฑลและเมืองต่างๆ ที่กำลังดิ้นรนเพื่อลดภาระหนี้สิน ความซบเซาของเศรษฐกิจอาจฝังรากลึกยิ่งขึ้น คล้ายกับทศวรรษที่สูญหายของญี่ปุ่น ภาวะเงินฝืดก็อาจเลวร้ายลงหากประเทศต่างๆ ที่ไม่ยอมสูญเสียอุตสาหกรรมของตน ปิดกั้นการส่งออกสินค้าราคาถูกของจีนมากขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ยังคงเป็นความท้าทายต่ออนาคตของเศรษฐกิจจีนและไพ่เด็ดยังช่วยไม่ได้