'อิทธิฤทธิ์เงินสด' สร้างสวัสดิการ | อาหารสมอง

'อิทธิฤทธิ์เงินสด' สร้างสวัสดิการ | อาหารสมอง

อย่าดูถูกเงินสดไม่ว่ามากน้อยเพียงใดถ้าได้รับอย่างสม่ำเสมอเป็นอันขาด เพราะมันสามารถช่วยได้หลายเรื่องโดยเฉพาะในครอบครัวที่ยากจน และแม่บ้านเป็นผู้ได้รับ

ขณะนี้ทั่วอินเดียใน 12 รัฐ (ในทั้งหมด 28 รัฐและเขตปกครองเมืองแบบพิเศษอีก 8 แห่ง) มีการให้เงินสดอย่างไม่มีเงื่อนไข (Unconditional Cash Transfer- UCT) แก่หญิง 112 ล้านคน (มีผู้อยู่ในข่ายได้รับการแจกทั้งประเทศประมาณ 520-530 ล้านคน) 

ถือได้ว่าเป็น “โครงการทดลองนโยบายสังคม” ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก โครงการนี้มีข้อดีและข้อเสียหลายประการอย่างสมควรเป็นบทเรียนแก่ชาวโลก การให้เงินช่วยเหลือ UCT ถือว่าเป็นแนวใหม่ของสวัสดิการรัฐแก่ประชาชน จากเดิมที่ให้เงินอุดหนุนและความช่วยเหลือหลายประเภท เช่น เชื้อเพลิง ธัญพืช ให้งานในชนบท ฯลฯ 

การให้เงินสดของโครงการนี้เปรียบเสมือนให้ “เงินค่าจ้าง” แก่การทำงานบ้านและดูแลลูก ถึงแม้จะไม่มากเพียงเดือนละ 1,000-2,500 รูปี ( 350-900 บาทต่อเดือน) ซึ่งเท่ากับประมาณ 5-12% ของรายได้ครัวเรือน แต่ก็ได้รับสม่ำเสมอผ่านการโอนเงินที่สะดวกและรวดเร็ว การให้ก็ไม่มีเงื่อนไข ซึ่งต่างจากเม็กซิโก บราซิล อินโดนีเซีย ฯลฯ ที่มีเงื่อนไข เช่น ลูกต้องเรียนหนังสือ รายได้ครัวเรือนต่ำกว่าเกณฑ์ ฯลฯ

โครงการแจกของอินเดียเริ่มในปี 2556 โดยรัฐ Goa ตามด้วย Assam / Tamil Nadu / West Bengal / Bihar / และอื่น ๆ อย่างรวดเร็วเพราะได้รับความนิยมอย่างมาก

“การทดลอง” ครั้งนี้เป็นผลพวงจากกระแสงานวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ ที่เรียกว่า Credibility Revolution ซึ่งหมายถึงกระบวนการเคลื่อนไปสู่ความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นในการนำนโยบายไปใช้ โดยอาศัยข้อสรุปจากงานวิจัยที่ให้หลักฐานเชิงประจักษ์ (Empirical Economic Studies) มาสนับสนุนแทนที่จะใช้จินตนาการอย่างเดิม ๆ

 

การศึกษาลักษณะนี้ใช้วิธีการทดลองจริงโดยใช้เครื่องมือทางเศรษฐมิติ (การผสมกันของเศรษฐศาสตร์ สถิติขั้นสูงและคณิตศาสตร์) ผสมกับศาสตร์อื่นๆ เป็นเครื่องมือพูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นยุคใหม่ของการใช้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือมาใช้ในงานวิจัยที่ออกแบบดีและมีวิชาการใหม่สนับสนุน

ผู้ริเริ่มกระบวนการนี้คือ Joshua Angrist ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รับรางวัลโนเบลทางเศรษฐศาสตร์ ร่วมกับอีก 2 คน คือ David Card และ Guido Imbens ประจำปี 2564

นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล 3 คนประจำปี 2562 คือ Abhijit Banerjee, Esther Duflo และ Michael Kremer เดินตามเส้นทางของ Credibility Revolution โดยวิจัยผ่านการเลียนแบบการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า Randomized Control Trials (RCT) กล่าวคือ หาความจริงจากการทดลอง เช่น อยากรู้ว่าในการป้องกันมาลาเรียจากยุง การแจกมุ้งฟรีกับการขายมุ้งในราคาถูก วิธีการใดที่มีประสิทธิภาพกว่ากัน 

เขาแบ่งกลุ่มทดลองออกเป็นหลายกลุ่มเพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรม เมื่อได้ความจริงจากการทดลองกลุ่มเล็กแล้วจึงเอาไปขยายผล ซึ่งดีกว่าการแจกแบบเดิมตามความเชื่อว่าเป็นวิธีที่ได้ผล แต่ในความเป็นจริงแล้วเงินจำนวนมหาศาลต้องสูญเปล่า (เช่น เอามุ้งไปช้อนปลา)

โครงการแจกเงินครั้งมโหฬารนี้ของโลก นักการเมืองและนักวิชาการอินเดียมองว่าเป็น “การศึกษาวิจัย” ซึ่งหากได้ผลก็จะขยายไปรัฐอื่น ๆ และจะเป็นประโยชน์แก่ชาวโลก อย่างไรก็ดี ยังไม่มีการศึกษาที่กว้างขวางและได้ข้อสรุปที่เห็นพ้องกันว่ามีประโยชน์จริงหรือไม่ เงินแจกตกไปถึงใครและคุ้มค่าหรือไม่ 

อย่างไรก็ดี การศึกษาเบื้องต้นพบว่าเป็นประโยชน์แก่ครัวเรือน และทำให้ศักดิ์ศรีของผู้หญิงเด่นชัดขึ้น เพราะมีความเป็นอิสระด้านการเงินขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งสามีทั้งหมดอย่างที่เคยเป็น

นอกจากนี้มีการใช้เงินไปในการซื้อของใช้ประจำบ้าน การศึกษาของลูก ๆ ค่าหมอค่ายา ใช้หนี้บางส่วน หาความสุขได้บ้างเล็กน้อย ฯลฯ โดยไม่มีหลักฐานว่า “ลงขวด” งานศึกษาของธนาคารโลกหลายชิ้นพบว่าการช่วยเหลือครอบครัวที่ยากจนผ่านแม่นั้นโดยทั่วไปมักมีประสิทธิภาพมากกว่าผ่านพ่อ

ประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันก็คือ ความสุขที่เพิ่มขึ้นของแม่บ้านจากการลดความขัดแย้งในครอบครัวเมื่อมีเงินสดในมือบ้าง แม่บ้านรู้สึกว่าได้รับการยอมรับว่าทำงานที่มีคุณค่า เกิดความสุขทางใจจากความมั่นใจว่าจะได้รับเงินปลายเดือนแน่นอนและสม่ำเสมอ อีกทั้งรู้สึกว่ามีอำนาจต่อรองมากขึ้นในครอบครัว เหล่านี้เป็นผลประโยชน์ที่ไม่ใช่ทางเศรษฐกิจโดยตรงแต่มีความสำคัญทางจิตใจแก่คนยากไร้โดยเฉพาะผู้เป็นเพศแม่

อย่างไรก็ดี ข้อวิจารณ์โครงการนี้ก็มีอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า UCT มิได้ช่วยแก้ปัญหาความยากจนเชิงโครงสร้างในระยะยาว มันเป็นเพียงการสร้างสวัสดิการในระยะสั้นที่ทำให้โครงการที่มีประโยชน์อย่างแท้จริงเสียโอกาส

นอกจากนี้ทำให้ผู้หญิงไม่คิดจะทำงานในตลาดแรงงานเพิ่มเติมเพราะมีแหล่งรายได้ใหม่แล้ว ข้อวิจารณ์ที่น่าคิดก็คือรัฐต่าง ๆ ต้องใช้เงินมาก เพราะจะมีการเลียนแบบในอีกหลายรัฐที่คอยอยู่ นอกจากนี้เมื่อเกิดโครงการขึ้นแล้วและหากพบว่าไม่คุ้มค่าก็ยากที่จะเลิกได้

โครงการ UCT ของอินเดียที่ถือว่า “แหวกแนว” นี้เป็นที่จับตามองของผู้นำในหลายประเทศ เพราะสอดคล้องกับการได้เสียงของนักการเมือง และมีหลักฐานว่าเป็นประโยชน์เพราะช่วยลดแรงกดดันจากปัญหาความยากจนได้ดี ประเด็นความเป็นไปได้ทางการเงินและความยั่งยืนเป็นประเด็นใหญ่ที่ต้องไตร่ตรอง และหากมีโครงการก็จำเป็นต้องลดหรือเลิกโครงการอื่นเพื่อทดแทน

เงินสดมี “อิทธิฤทธิ์” เนื่องจากมีความคล่องตัวในการสร้างความพอใจอย่างสอดคล้องกับสถานการณ์ที่แปรเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว ผู้โชคร้ายจากน้ำท่วม หรือภัยพิบัติในบ้านเราอาจต้องการเงินสดในสัดส่วนที่มากกว่าส่วนที่เป็นสิ่งของที่แจกก็เป็นได้นะครับ