2025 ภาษีทรัมป์เปลี่ยนโลก: 'เทรดวอร์' เครื่องมือภูมิรัฐศาสตร์

2025 ภาษีทรัมป์เปลี่ยนโลก: 'เทรดวอร์' เครื่องมือภูมิรัฐศาสตร์

การหวนคืนสู่ทำเนีบขาวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในปี 2025 สร้างความสั่นสะเทือนให้กับทั้งโลกด้วยสงครามการค้าที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยแรก คราวนี้สหรัฐไม่ได้เก็บภาษีเฉพาะจีนคู่แข่งทางยุทธศาสตร์เท่านั้น แต่กวาดไปทั้งโลกแม้แต่ไทยก็ตกเข้าไปอยู่ในเกมนี้ด้วย

ไทม์ไลน์ที่น่าสนใจเริ่มตั้งแต่หลังทรัมป์สาบานตนเมื่อวันที่ 20 ม.ค.ได้ไม่กี่วัน เห็นการตอบโต้อย่างถึงพริกถึงขิงระหว่างสหรัฐกับจีน เริ่มตั้งแต่ 

  •  1 ก.พ.

ทรัมป์ลงนามในคำสั่งบริหารเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 10% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4  ก.พ. คำสั่งนี้มีเป้าหมายเพื่อควบคุมการนำเข้ายาเฟนทานิลเข้าประเทศ ก่อนหน้านี้มีการเรียกเก็บภาษี 25% จากแคนาดาและเม็กซิโกด้วยเหตุผลที่คล้ายคลึงกัน

คำสั่งดังกล่าวยังยุติการยกเว้นภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าจีนที่มีขนาดเล็กมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์และจัดส่งโดยตรงไปยังผู้บริโภคในสหรัฐ รัฐบาลทรัมป์โต้แย้งว่าระเบียบดังกล่าวมีส่วนทำให้ยาเฟนทานิลและยาเสพติดผิดกฎหมายเข้ามาในสหรัฐ

  • 4 ก.พ.

กระทรวงการคลังของจีนประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว 15% และภาษีนำเข้าน้ำมันดิบ เครื่องจักรกลการเกษตร รถยนต์ขนาดใหญ่ และรถกระบะ 10% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป

ในวันเดียวกันนั้น กระทรวงพาณิชย์จีนประกาศควบคุมการส่งออกแร่หายากหลายชนิด เช่น บิสมัท อินเดียม โมลิบดินัม ทังสเตน และเทลลูเรียม ซึ่งสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิอิเล็กทรอนิกส์หรือการผลิตอาวุธ โดยระบุว่ามีความจำเป็น “เพื่อปกป้องความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติ และปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ เช่น การไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์”

  • 10 ก.พ.

ทรัมป์ออกประกาศใช้มาตรการภาษีนำเข้าเหล็กตามมูลค่าสินค้า ทั้งยังเพิ่มภาษีนำเข้าอะลูมิเนียมจาก 10% เป็น 25% โดยให้เหตุผลว่า การส่งออกเหล็กจากจีนเพิ่มขึ้น “ส่งผลให้การผลิตในประเทศอื่นลดลง และบีบให้ประเทศเหล่านั้นต้องส่งออกผลิตภัณฑ์เหล็กและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเหล็กไปยังสหรัฐอเมริกาในปริมาณที่มากขึ้น”

  • 2 เม.ย.

ถือเป็นวันที่ทั้งโลกต้องจดจำ เมื่อทรัมป์ประกาศภาษีทุกประเทศใน “วันปลดปล่อย” เก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่ม 34% จากของเดิม 20% ส่งผลภาษีสินค้าจีนรวมที่ 54%

  • 4 เม.ย.

กระทรวงการคลังจีนเก็บภาษีตอบโต้สินค้านำเข้าจากสหรัฐทุกชนิดที่ 34% เริ่มต้น 10 เม.ย.

ในวันเดียวกันนั้น กระทรวงพาณิชย์จีนกำหนดให้บริษัทต่างๆ ต้องยื่นขอใบอนุญาตก่อนส่งออกแร่หายาก 7 ชนิด ได้แก่ ซาแมเรียม แกโดลิเนียม เทอร์เบียม ไดสโปรเซียม ลูเทเซียม สแกนเดียม และอิตเทรียม

  • 8 เม.ย.

สืบเนื่องจากคำขู่ก่อนหน้านี้ที่จะเพิ่มมาตรการภาษีตอบโต้กันไปมา ทรัมป์ออกคำสั่งฝ่ายบริหารเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 104%

  • 9 เม.ย.

จีนขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐจาก 34% เป็น 84% ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ทรัมป์ตอบโต้การขึ้นภาษีของจีนผ่านการโพสต์ทรูธโซเชียล

“เนื่องจากจีนแสดงพฤติกรรมไม่เคารพตลาดโลก ผมจึงขึ้นภาษีที่สหรัฐอเมริกาเก็บจากจีนเป็น 125% มีผลทันที” ส่งผลให้อัตราภาษีรวมของสินค้าส่งออกจากจีนไปยังสหรัฐอยู่ที่ 145% และในโพสต์เดียวกันทรัมป์ประกาศลดภาษีที่เก็บจากประเทศอื่นๆ เหลือ 10% เป็นระยะเวลา 90 วัน

  •   เริ่มต้นช่วงเวลาต่อรอง

ในช่วง 90 วันนี่เองที่ทรัมป์ใช้ภาษีเป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายกรณี ระหว่างรอการเจรจา 90 วัน รัฐบาลทรัมป์ตั้งใจทำข้อตกลงการค้าให้ได้วันละหนึ่งประเทศ ครบกำหนดสามารถดีลได้ทุกประเทศ แต่การเจรจาเรื่องใหญ่ขนาดนี้ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ และดูเหมือนว่า ทรัมป์จะใช้ยุทธศาสตร์แข็งกร้าวกับมิตร โอนอ่อนกับศัตรู ตัวแทนรัฐบาลวอชิงตันกับปักกิ่งเจอกันหลายครั้ง  และทรัมป์พูดบ่อยครั้งว่าเขาจะพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งทั้งคู่ได้พบกันจริงๆ เมื่อปลายเดือน ต.ค. นอกรอบการประชุมผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (เอเปค) ที่เกาหลีใต้

ขณะที่การเจรจากับมิตรเหนียวแน่นอย่างญี่ปุ่นกลับเป็นไปอย่างยากลำบาก บรรลุดีลกันในเดือน ก.ค.ก็จริง แต่เพิ่งมาเป็นรูปธรรมทรัมป์ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันที่ 4 ก.ย. เก็บภาษีสินค้าญี่ปุ่นส่วนใหญ่รวมถึงรถยนต์ในอัตรา 15% โดยรัฐบาลโตเกียวเห็นชอบลงทุน 5.5 แสนล้านดอลลาร์ในโครงการที่รัฐบาลสหรัฐเลือกสรรค และซื้อสินค้าเกษตรอเมริกันเพิ่ม เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง เครื่องบินพาณิชย์ และอาวุธยุทโธปกรณ์

ล่าสุดกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น แถลงเมื่อวันพุธ (24 ธ.ค.) ญี่ปุ่นและสหรัฐเตรียมเร่งโครงการลงทุนของญี่ปุ่น 5.5 แสนล้านดอลลาร์ของญี่ปุ่นในสหรัฐ ที่ชื่อว่า “โครงการริเริ่มลงทุนเชิงยุทธศาสตร์” ให้เร็วที่สุด มีการหารือโครงการแรกกันเมื่อคืนวันอังคาร (23 ธ.ค.) ฝ่ายญี่ปุ่นนำโดยเรียวเซอิ อากาซาวะ รัฐมนตรีการค้า ฝ่ายสหรัฐนำโดยโฮวาร์ด ลัตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์ และคริส ไรท์ รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน การหารือยาวนานราวสองชั่วโมง

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ถ้าญี่ปุ่นไม่ให้เงินทำโครงการภายใน 45 วันนับตั้งแต่ทรัมป์ตัดสินใจ ก็อาจถูกขึ้นภาษี ตามที่ทรัมป์เคยขู่ไว้ในระดับ 25% ก่อนลดลงมาเหลือ 15% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ หลังรัฐบาลโตเกียวเห็นชอบเพิ่มการลงทุนในสหรัฐผ่านโครงการ 5.5 แสนล้านดอลลาร์ดังกล่าว

  •  ‘ภาษี’เพื่อภูมิรัฐศาสตร์

การใช้ภาษีเป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์ของทรัมป์เห็นได้ชัดกรณีของอินเดีย เริ่มต้นปี 2025 ความสัมพันธ์อินเดีย-สหรัฐส่อเค้าว่าจะบรรลุจุดสูงสุดใหม่ เมื่อนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี เป็นผู้นำต่างชาติคนแรกๆ ที่ได้พบทรัมป์ในเดือน ก.พ. หลังได้รับเลือกตั้งมาไม่นาน และไม่กี่ชั่วโมงก่อนทรัมป์ลงนามแผนการใช้ “ภาษีศุลกากรตอบโต้”

ซีเอ็นบีซีรายงานว่า ภาพที่ปรากฏนั้นทรงพลังอย่างยิ่ง เมื่อผู้นำของสองประเทศประชาธิปไตยใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในโลกจับมือกัน และให้คำมั่นว่าจะเพิ่มการค้าทวิภาคีเป็นสองเท่าให้ได้ 5 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 โมดีย้ำ“ทีมงานของเราจะร่วมมือกันเพื่อสรุปข้อตกลงทางการค้าที่เป็นประโยชน์ร่วมกันในเร็ววัน”

ตัดภาพมาที่เดือน ธ.ค. อินเดียเป็นประเทศหนึ่งที่ถูกสหรัฐเก็บภาษีสูงที่สุดในโลก สูงยิ่งกว่าจีนเป้าหมายเดิมช่วงที่ทรัมป์หาเสียงเลือกตั้งเสียอีก

สหรัฐนั้นต้องการปรับดุลการค้ากับอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศสำคัญในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ ด้วยการให้อินเดียซื้อพลังงานและสินค้าเกษตรจากสหรัฐมากขึ้น แต่อินเดียยอมแค่ซื้อพลังงานบางส่วน แต่ยังแข็งขืนไม่ยอมเปิดตลาดสินค้าเกษตรซึ่งมีความอ่อนไหวทางการเมือง

ประเด็นที่อินเดียถูกกดดันอย่างหนักคือลดซื้อน้ำมันรัสเซีย ที่วอชิงตันอ้างว่า ทำให้มอสโกต้านทานแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากชาติตะวันตกได้ และเดินหน้าทำสงครามกับยูเครนต่อไป

อีกหนึ่งประเด็นคือ ทรัมป์พยายามฉายภาพตนเองเป็นผู้สร้างสันติภาพโลก อ้างเสมอมาว่า ปีนี้ยุติสงครามไปแล้วแปดครั้ง รวมถึงการปะทะกันระหว่างอินเดียกับปากีสถานเมื่อหลายเดือนก่อน ซึ่งอินเดียไม่ยอมรับว่าทรัมป์มีส่วนไกล่เกลี่ย

  •  ไทย-กัมพูชาติดร่างแห 

ความขัดแย้งถึงขั้นปะทะกันด้วยอาวุธระหว่างอินเดีย-ปากีสถานชวนให้คิดถึงพรมแดนไทย-กัมพูชา ที่ปีนี้ปะทุขึ้นครั้งแรกในวันที่ 28 พ.ค. สองประเทศพยายามใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ทั้ง GBC, JBC และ RBC จนระงับไปได้ระยะหนึ่ง แต่แล้วต้องมาปะทะกันอีกในเดือน ก.ค. คราวนี้ทรัมป์ประกาศชัดเขาได้โทรหาผู้นำไทยและกัมพูชาเพื่อเรียกร้องให้ยุติการสู้รบ  พร้อมเตือนว่าจะไม่ทำข้อตกลงการค้ากับทั้งสองประเทศในขณะที่ความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไป

“บังเอิญว่าเรากำลังเจรจาการค้ากับทั้งสองประเทศอยู่ แต่เราไม่ต้องการทำข้อตกลงใดๆ กับทั้งสองประเทศ หากพวกเขากำลังสู้รบกันอยู่ — และผมก็บอกพวกเขาไปแล้ว!” ทรัมป์กล่าวผ่านทรูธโซเชียลเมื่อวันที่ 26 ก.ค. กล่าวได้ว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ทรัมป์ใช้มาตรการภาษีข้างเดียวของตน ข่มขู่คู่เจรจาให้ยุติการสู้รบ ซึ่งในเคสนี้ดูเหมือนจะได้ผล เมื่อนายกรัฐมนตรีไทยและกัมพูชาต้องไปเจรจากันที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ในฐานะที่มาเลเซียเป็นประธานอาเซียน ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบหยุดยิง และนำไปสู่ปฏิญญาร่วม (Joint Declaration) ในวันที่ 26 ต.ค. ที่ทรัมป์มาเป็นสักขีพยานด้วย นอกรอบการประชุมผู้นำอาเซียน ในส่วนของภาษีสหรัฐทั้งกัมพูชาและไทยเสียในอัตรา 19% ด้วยกันทั้งคู่ 

อย่างไรก็ตาม ปฏิญญาร่วมดังกล่าวถูกฝ่ายไทยระงับหลังเกิดเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด และในเดือนนี้ไทยและกัมพูชาปะทะกันอีกครั้ง รอบนี้ยืดเยื้อกว่าสองสัปดาห์ ทรัมป์ยกหูคุยทั้งกับนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีระกูลและนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต โดยผู้นำไทยเผยว่า ไม่มีการนำเรื่องภาษีเข้ามาเกี่ยวข้อง ขณะที่โชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผย เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.ถึงความคืบหน้าในการเจรจาภาษีสหรัฐว่า ขณะนี้การเจรจาทางเทคนิคระหว่างไทยและสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ ยังคงเดินหน้าเจรจาไปอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่สหรัฐมีการตกลงประกาศอัตราภาษีไทย19%

  •  อินโดนีเซียปิดดีลได้แล้ว

หันไปมองเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย ตอนที่ไทยกับกัมพูชาปะทะกันรอบใหม่ในเดือนนี้ สื่อต่างประเทศรายงานว่า การเจรจาภาษีระหว่างสหรัฐกับอินโดนีเซียใกล้ล่ม จนรัฐบาลวอชิงตันต้องจี้ให้เจรจาสำเร็จ ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น  อินโดนีเซียและสหรัฐบรรลุข้อตกลงด้านภาษีศุลกากรเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. โดยข้อตกลงดังกล่าวจะยกเว้นภาษีให้กับสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญบางรายการของอินโดนีเซีย และทั้งสองฝ่ายตั้งใจจะลงนามอย่างเป็นทางการภายในสิ้นเดือนมกราคม

กรณีเหล่านี้เป็นตัวอย่างว่า ภาษีศุลกากรของทรัมป์ไม่ใช่แค่เครื่องมือทางการค้า แต่ยังเป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์ ในกรณีของไทยซึ่งยังอยู่ภายใต้รัฐบาลรักษาการอาจยังไม่มีความคืบหน้าในเรื่องการเจรจา  เรื่องนี้ยังมีภาคต่อหลังเลือกตั้งเมื่อได้รัฐบาลตัวจริงเสียงจริง