75 ปี ไทย-ลาว: เพื่อนบ้านที่มากกว่าเพื่อนบ้าน | World Wide View

ความเชื่อมโยงทางภาษาและวัฒนธรรมทำให้ไทยรู้สึกใกล้ชิดคุ้นเคยกับ สปป. ลาว เป็นพิเศษ จึงไม่น่าแปลกใจที่ทั้งสองประเทศมีกลไกขับเคลื่อนความร่วมมือในหลากหลายมิติ
ธันวาคมเป็นเดือนสำคัญสำหรับชาวไทยและลาว เพราะเป็นโอกาสฉลองวันชาติของทั้งสองประเทศในวันที่ 5 ธันวาคม และ 2 ธันวาคมตามลำดับ แต่ปีนี้พิเศษกว่าทุกครั้ง เพราะครบรอบ 50 ปี การสถาปนาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) ด้วย และในวันที่ 19 ธันวาคม ก็จะครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ลาว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญ
ในโอกาสพิเศษนี้ กรมศิลปากรได้ออกแบบตราสัญลักษณ์ที่สะท้อนอัตลักษณ์สำคัญของสองประเทศ ได้แก่ ดอกราชพฤกษ์ ดอกไม้ประจำชาติไทย และดอกลีลาวดี หรือ “ดอกจำปา” ดอกไม้ประจำชาติลาว และยังมีพระธาตุศรีสองรักเคียงคู่กับพระธาตุหลวงเวียงจันทน์ด้วย
พระธาตุหลวงเวียงจันทน์เป็นศาสนสถานสำคัญที่แขกบ้านแขกเมืองต้องไปสักการะ รวมถึงนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล เมื่อครั้งเยือน สปป. ลาว อย่างเป็นทางการเมื่อตุลาคมที่ผ่านมา ส่วนพระธาตุศรีสองรักตั้งอยู่ที่ อ.ด่านซ้าย จ.เลย สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2106 ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา และสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช ผู้ทรงสถาปนาเวียงจันทน์เป็นราชธานีของอาณาจักรล้านช้าง เพื่อเป็นสักขีพยานแห่งพระราชไมตรีระหว่างทั้งสองแผ่นดิน ดังนั้น สายสัมพันธ์ไทย-ลาวจึงสืบย้อนไปได้แต่โบราณนานนับศตวรรษ
ความผูกพันไทย–ลาวที่ยาวนานเป็นรากฐานให้ทั้งสองประเทศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2493 และในปีถัดมา รัฐบาลไทยได้ตั้งสถานกงสุลใหญ่ ณ เวียงจันทน์ ก่อนจะยกระดับเป็นสถานอัครราชทูต และสถานเอกอัครราชทูตเมื่อปี 2496 และ 2498 ตามลำดับ
ความสัมพันธ์ดังกล่าวเจริญก้าวหน้ามาตลอด และมีการติดต่อแลกเปลี่ยนในทุกระดับ โดยเฉพาะ พระบรมวงศานุวงศ์ไทยที่ทรงมีคุณูปการต่อความสัมพันธ์ไทย-ลาวอย่างยิ่ง หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญคือ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จฯ เป็นองค์ประธานในพิธีเปิดสะพานมิตรภาพไทย–ลาวแห่งที่ 1 (หนองคาย-เวียงจันทน์) ร่วมกับนายหนูฮัก พูมสะหวัน ประธานประเทศแห่ง สปป. ลาว (ในขณะนั้น) ตามด้วยการเสด็จฯ เยือน สปป. ลาว อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8-9 เมษายน 2537 เพื่อทรงเปิดโครงการศูนย์พัฒนาและบริการด้านการเกษตรห้วยซอน-ห้วยซั้ว (หลัก 22) ซึ่งเป็นโครงการในพระราชดำริ ใน สปป. ลาว ที่มีศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.ดอยสะเก็ด จ. เชียงใหม่ เป็นต้นแบบ และยังดำเนินการมาถึงปัจจุบัน
ในด้านเศรษฐกิจ สปป.ลาว เป็นตลาดส่งออกที่ทวีความสำคัญอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่รัฐบาลของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ มีนโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ในช่วงต้นทศวรรษ 2530 ส่งผลให้การค้าชายแดนระหว่างไทยกับ สปป. ลาว เติบโตมาตลอด โดยเมื่อปีที่แล้วมูลค่าการค้าระหว่างกันสูงถึง 290,000 ล้านบาท ซึ่งร้อยละ 98 เป็นการค้าชายแดน ไทยจึงเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของ สปป. ลาว
ปัจจุบัน ทั้งสองฝ่ายตั้งเป้าที่จะเพิ่มมูลค่าการค้าให้ถึง 350,000 ล้านบาท ภายในปี 2570 นอกจากนี้ สปป. ลาว ยังเป็นผู้ส่งออกพลังงานสะอาด จากแหล่งพลังงานน้ำที่ สปป. ลาว มีศักยภาพสูง และเป็นไปตามนโยบาย “Battery of Asia” ที่มุ่งส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ภูมิภาคด้วย
ความเชื่อมโยงทางภาษาและวัฒนธรรมทำให้ไทยรู้สึกใกล้ชิดคุ้นเคยกับ สปป. ลาว เป็นพิเศษ จึงไม่น่าแปลกใจที่ทั้งสองประเทศมีกลไกขับเคลื่อนความร่วมมือในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านความมั่นคง เช่น การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือแม้แต่การจัดการปัญหา PM 2.5 โดยรัฐบาลไทย-สปป. ลาว-เมียนมา ภายใต้กรอบความร่วมมือ “ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (CLEAR Sky Strategy)” เพื่อหาทางแก้ปัญหาหมอกควันข้ามแดนอย่างเป็นรูปธรรม
ประเทศเพื่อนบ้านมีความสำคัญสำหรับไทยเสมอมา เพราะหากเพื่อนบ้านมั่นคงและมั่งคั่ง ทั้งสองประเทศก็จะจับมือกันเดินไปข้างหน้าได้มั่นคง และผลักดันข้อริเริ่มใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างสำคัญคือ การสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาค ซึ่งสอดรับกับนโยบายของ สปป. ลาว ที่จะเปลี่ยนประเทศจาก “Land Locked” สู่ “Land Linked” ในสัปดาห์หน้า จะขอชวนผู้อ่านไปสำรวจกันต่อว่าไทยกับลาวร่วมมือกันเรื่องนี้อย่างไร เพื่อให้ สปป.ลาว มีเส้นทางคมนาคมที่ทันสมัย และผู้ประกอบการไทยได้ใช้ขนส่งสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตรไปยังเวียดนามและภาคใต้ของจีนได้สะดวก ซึ่งสะท้อนว่าทั้งสองฝั่งโขงมีผลประโยชน์ที่ผูกพันกันและสามารถอยู่ดีกินดีไปเคียงข้างกัน







