"อินเดีย" หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของไทยแก้ไขปัญหาเมียนมา

"อินเดีย" หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของไทยแก้ไขปัญหาเมียนมา

อินเดียกำลังผงาดขึ้นมาเป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของโลก และสำหรับไทย อินเดียไม่ใช่เพียงตลาดขนาดใหญ่ หรือแหล่งนักท่องเที่ยวที่เติบโตเร็วเท่านั้น

หากยังเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่มีบทบาทโดยตรงต่อเสถียรภาพของภูมิภาคแถบลุ่มน้ำโขงและอ่าวเบงกอล 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปมปัญหาเมียนมา ที่ทั้งไทยและอินเดียต่างเป็นประเทศเพื่อนบ้านซึ่งรับผลกระทบจากความไม่สงบและความไม่แน่นอนทางการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการของนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นชัดว่า ไทยกำลังวางอินเดียไว้ในฐานะหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ ที่มีความสำคัญทั้งทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์

ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ทวิภาคีธรรมดา แต่คือการร่วมกันออกแบบเสถียรภาพของภูมิภาคท่ามกลางระเบียบโลกที่ผันผวน

ในมิติภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาเมียนมาคือจุดรอยต่อของผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของทั้งไทยและอินเดีย ไทยมีพรมแดนทางบกติดเมียนมายาวหลายพันกิโลเมตร ขณะที่อินเดียเองก็มีพรมแดนติดเมียนมาเช่นกัน ทั้งสองประเทศจึงเผชิญความเสี่ยงร่วมกัน ทั้งการลักลอบข้ามแดน ผู้ลี้ภัย อาชญากรรมข้ามชาติ 

และในระยะหลังคือ สแกมเมอร์ออนไลน์ ที่ใช้พื้นที่ชายแดนและเขตนอกการควบคุมของรัฐบาลในเมียนมาเป็นฐานปฏิบัติการ ชายแดนที่เปราะบางของเมียนมาจึงไม่ใช่ปัญหาภายในประเทศอีกต่อไป แต่กลายเป็นความท้าทายระดับภูมิภาคที่ไทยและอินเดียถูกบังคับให้ต้องร่วมมือกันจัดการ

นอกจากนี้ ไทยกับอินเดียยังผูกโยงกันผ่านกรอบภูมิภาคอย่างอาเซียน-อินเดีย BIMSTEC ความร่วมมือในพื้นที่อ่าวเบงกอล และแนวคิดอินโด-แปซิฟิกที่เน้นเสรีภาพและความเปิดกว้างของเส้นทางเดินเรือ การฝึกร่วมทางทะเล การจัดหาอาวุธและยุทโธปกรณ์จากอินเดียให้ไทย และโครงการเชื่อมต่ออย่างถนนสามฝ่าย อินเดีย-เมียนมา-ไทย

สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนภาพว่า ทั้งสองประเทศไม่ได้มองกันแค่ในกรอบผลประโยชน์เฉพาะหน้า แต่กำลังเดินหน้าไปสู่การเป็นหุ้นส่วนที่ต้องการรักษาระเบียบของภูมิภาคร่วมกัน

เมื่อเมียนมาคือจุดเชื่อมทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เสถียรภาพของเมียนมาจึงผูกติดกับความสำเร็จหรือความล้มเหลวของทั้ง Act East ของอินเดียและ Act West ของไทยไปพร้อมกัน

สัญญาณบวกจากการหารือของรัฐมนตรีต่างประเทศทั้งสองประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญ การที่รัฐมนตรีไทยย้ำว่าต้องใช้โอกาสการเลือกตั้งในเมียนมาเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองกับอินเดีย การยอมรับร่วมกันว่าต้องมีการแบ่งปันข่าวกรองมากขึ้น และการเห็นพ้องว่าความไม่สงบในเมียนมาไม่สามารถแก้ได้ด้วยกรอบใดกรอบเดียว 

แต่ต้องอาศัยการประสานงานระหว่างประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด รวมทั้งจีน บังกลาเทศ และอาเซียน ถือเป็นการวางรูปแบบความร่วมมือใหม่ที่ไทยไม่ได้พึ่งแต่กรอบอาเซียน หากหันมาใช้พลังของหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์นอกภูมิภาคอาเซียนอย่างอินเดียในการเพิ่มอำนาจต่อรองและทางเลือกเชิงนโยบาย

ในโลกที่ระเบียบระหว่างประเทศกำลังถูกท้าทาย การสร้างแนวร่วมที่หลากหลายและสมดุลจะเป็นทุนสำคัญในการจัดการวิกฤติชายแดนอย่างกรณีเมียนมา

ไทยที่เลือกเดินเกมโดยยกอินเดียขึ้นมาเป็นหุ้นส่วนหลักในการรักษาเสถียรภาพภูมิภาคและจัดการต้นตอของอาชญากรรมข้ามชาติที่เชื่อมโยงกับเมียนมา จึงไม่ได้เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่คือการวางฐานยุทธศาสตร์ระยะยาวให้กับทั้งความมั่นคงและเศรษฐกิจของไทยเอง 

การเดินเกมการทูตของไทยครั้งนี้จึงถือว่าถูกต้องแล้ว เพราะทั้งกระจายความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์ ยังสามารถรักษาผลประโยชน์แห่งชาติไปพร้อมกันได้ด้วย

*ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก ศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชันและส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค คณะเศรษฐศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย