จับตาผู้นำจีนรุ่นใหม่ปี 2026 อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

กลุ่มคลังสมองอเมริกันคาดการณ์ ปี 2026 จะเป็นปีสำคัญของจีน ไม่ใช่แค่เรื่องความสัมพันธ์กับสหรัฐและความทันสมัยทางเทคโนโลยี แต่จะเป็นปีของผู้นำรุ่นใหม่โดยเฉพาะคนที่เกิดในทศวรรษ 1970 ที่จะเริ่มนั่งในตำแหน่งระดับมณฑล
เว็บไซต์นิกเคอิเอเชียอ้างถึง รายงาน “จีน 2026: สิ่งที่ต้องจับตา” จัดทำโดยศูนย์เพื่อการวิเคราะห์จีน ซึ่งมีฐานปฏิบัติการในนิวยอร์ก หน่วยงานของสถาบันนโยบายสังคมเอเชีย ชี้ว่า แม้เป็นที่คาดหมายกันมากว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิงจะอยู่ในตำแหน่งต่อไปเป็นสมัยที่ 4 ในปี 2027 ขยายอำนาจการปกครองไปอีกห้าปี เจ้าหน้าที่รุ่นใหม่จะค่อยๆ ปรับเปลี่ยนแนวทางของจีนในการแข่งขันกับสหรัฐ, นโยบายนวัตกรรม และการข้องเกี่ยวกับโลก
กั๋วกวง อู๋ นักวิจัยรับเชิญอาวุโสประจำศูนย์วิเคราะห์จีนและนักวิจัยอาวุโสจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ระบุ
“หลังการปรับเปลี่ยนตำแหน่งผู้นำระดับมณฑลในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 และครึ่งแรกของปี 2027 คนรุ่นใหม่อาจครองตำแหน่งผู้นำระดับจังหวัดมากกว่า 60%” เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 30% ในปัจจุบัน สมาชิกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในรุ่นนั้นจะก้าวขึ้นเป็นคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในช่วงปลายปี 2027
ความแตกต่างอยู่ที่่ว่า ผู้นำรุ่นก่อนๆมีประสบการณ์จากการปฏิวัติและการทำงานระดับรากหญ้า ผู้นำรุ่นใหม่หลายคนมีพื้นฐานการศึกษาและความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม เศรษฐศาสตร์ หรือการบริหาร จากการคำนวณของอู๋พบว่าผู้นำระดับมณฑลที่เกิดในทศวรรษ 1970 จำนวน 43.1% มีปริญญาเอก และ 48.3% มีปริญญาโท
เนื่องจากเติบโตขึ้นมาในช่วงที่เศรษฐกิจจีนเฟื่องฟู ผู้นำเหล่านี้หลายคนจึงมีอาชีพเป็นผู้จัดการในรัฐวิสาหกิจ
ในมุมมองของอู๋ คำถามสำคัญสำหรับจีนคือ สีจะให้ความสำคัญกับความภักดีทางการเมืองและความสอดคล้องทางอุดมการณ์ หรือจะให้ความสำคัญกับกลยุทธ์เชิงเทคนิคที่เน้นผลลัพธ์เป็นหลัก
หลังจากเหมา เจ๋อตงเสียชีวิตในปี 1976 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้หันมาให้ความสำคัญกับการคัดเลือกผู้นำโดยยึดหลักความสามารถและประสบการณ์ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ประเทศเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่หลังจากสีขึ้นเป็นผู้นำพรรคในปี 2012 เขาได้หันเหออกจากแนวทางนี้อย่างสิ้นเชิงมุ่งเน้นการรวมอำนาจและปรับเปลี่ยนเป้าหมายนโยบายของระบอบการปกครองจากการพัฒนาเศรษฐกิจไปสู่ด้านความมั่นคง
คณะผู้บริหารชุดใหม่จะต้องเผชิญกับความท้าทายในการพัฒนาเศรษฐกิจไปพร้อมกับการแสดงความจงรักภักดีทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องยาก อู๋อธิบายว่า เพราะปัญหาหลายอย่างที่พวกเขาต้องเผชิญในฐานะผู้นำระดับมณฑลเช่น การฟื้นฟูเศรษฐกิจการจัดการหนี้สิน และการเร่งสร้างนวัตกรรม ล้วนต้องการวิธีแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรมและใช้ความเชี่ยวชาญเป็นหลัก
ในขณะเดียวกัน นโยบายหลายอย่างของสีเช่น การมุ่งเน้นด้านความมั่นคง การควบคุมพรรค และการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์กับสหรัฐไม่เอื้อต่อการปกครองที่มีประสิทธิภาพหรือการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
อู๋คาดการณ์ในรายงานว่า การแต่งตั้งจะเป็นลูกผสมระหว่างคุณสมบัติสองประเทศที่ขัดแย้งกัน ตำแหน่งสำคัญด้านความมั่นคง การโฆษณาชวนเชื่อ และกิจการพรรค มีแนวโน้มที่จะตกเป็นของคนที่จงรักภักดี ส่วนตำแหน่งสำคัญทางเศรษฐกิจ เช่น การเงิน การพาณิชย์ การกำกับดูแลเทคโนโลยี และการปกครองท้องถิ่น จะมอบให้แก่ผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถ
อู๋ตั้งข้อสังเกตว่า มีสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนอยู่หลายอย่าง หากความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวันเพิ่มสูงขึ้น หรือมีความเสี่ยงที่จะเกิดการเผชิญหน้ากับสหรัฐทหารและเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงอาจขยายอิทธิพลของตน และบทบาทของผู้เชี่ยวชาญอาจถูกลดความสำคัญลง
หากสีสูญเสียอำนาจ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลด้านสุขภาพที่ทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว หรือวิกฤติเศรษฐกิจที่ไม่คาดคิด เมื่อนั้นแนวคิดปฏิบัตินิยมของเทคโนแครตจะกลับมาอีกครั้ง ซึ่งจะเปิดโอกาสให้มีการนำเอาองค์ประกอบที่สนับสนุนตลาดเสรีและตะวันตกเข้ามาใช้
อู๋อธิบายว่า จีนที่เน้นการปฏิบัติเช่นนี้อาจผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำระดับโลกอันทรงอำนาจและมุ่งไปสู่การสร้างระเบียบโลกแบบจีนได้ แต่ผลลัพธ์เช่นนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้หากปราศจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่







