การท่องเที่ยวเสียมเรียบเสียหายหนักจากเหตุปะทะล่าสุดกับไทย

เหตุปะทะล่าสุดระหว่างไทยกับกัมพูชาส่งผลให้นักท่องเที่ยวกลัวการเดินทางไปเสียมเรียบ พ่อค้าแม่ค้าและบริษัททัวร์ต่างรายงานตรงกันว่าธุรกิจดิ่งหนัก
เว็บไซต์เดอะสเตรทส์ไทม์สของมาเลเซียรายงานว่า โดยปกติเดือน ธ.ค.จะเป็นฤดูไฮซีซันของการท่องเที่ยวกัมพูชา ตลาดเก่าเมืองเสียมเรียบนักท่องเที่ยวเดินกันขวักไขว่ แต่ปีนี้แตกต่างออกไป
เพ็ง ทิตตะรารักสมี วัย 44 ปี เจ้าของร้านขายเสื้อผ้าและของที่ระลึก เผยว่า ธุรกิจ “แย่มาก”
“ก่อนเหตุระเบิด อย่างเดือนที่แล้วลูกค้าเยอะ ตอนนี้เหลือไม่กี่คน” เธอกล่าวและว่าการค้าขายลดลง 40% นับตั้งแต่สองประเทศปะทะกันอีกรอบในวันที่ 8 ธ.ค. หลังจากสู้รบกันห้าวันในเดือน ก.ค.
วันจัน นารี วัย 41 ปี เจ้าของร้านเครื่องประดับในตลาดเดียวกันเล่าว่า เดือน ธ.ค. เคยขายของได้วันละ 100 ดอลลาร์ ตอนนี้ได้วันละ 10 ดอลลาร์ก็โชคดีแล้ว
“ก่อนสู้รบค้าขายปกติเพราะเป็นไฮซีซัน ตอนนี้อยู่ระหว่างสงคราม เงียบมาก”
ด้าน วง โสมุนี วัย 41 ปี สามีของเธอกล่าวเสริม
“ถ้าสงครามยังยืดเยื้อยาวนาน จะต้องส่งผลกระทบรุนแรงต่อการท่องเที่ยว”
แม้เมืองเสียมเรียบจะห่างจากจุดปะทะชายแดนใกล้ที่สุดขับรถสองชั่วโมงครึ่ง แต่ชาวต่างชาติก็ระวังตัวไม่เข้ามาเที่ยว
วีแอลเค รอยัล ทัวริสซิม บริษัททัวร์ในเสียมเรียบเผยว่า คณะทัวร์ 10 คณะที่จะมาเยือนในเดือนนี้ยกเลิกไปแล้วสี่คณะ
ไพ โสภาค กล่าวว่า แผนการท่องเที่ยวภูมิภาคสองสัปดาห์ที่มาทั้งกัมพูชา ไทย ลาว เวียดนาม ตอนนี้นักท่องเที่ยวเลือกไปฮานอยที่เดียว เกรงว่า ถ้ายังสู้รบต่อไปนักท่องเที่ยวคงไม่กล้ามากัมพูชาพากันยกเลิกมากกว่านี้
“ไม่มีนักท่องเที่ยวก็ไม่มีรายได้” โสภาค วัย 33 ปีกล่าว
เจ้าหน้าที่ขายตั๋วเข้าชมนครวัด มรดกโลกของยูเนสโกเผยว่า นับตั้งแต่เกิดการสู้รบชายแดนยอดผู้เข้าชมลดลง 10%
จัน สิท มัคคุเทศก์นครวัด กล่าวว่า ปกติเขาหาเงินได้วันละ 30 ดอลลาร์ ตอนนี้สักดอลลาร์เดียวก็หายากมาก ก่อนหน้านี้เคยมีนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่จากไทย ลาว และเวียดนาม
“ถึงวันหยุดสัปดาห์พวกเขาจะข้ามพรมแดนทางบกเข้ามา แต่ตอนนี้เงียบ”
นารีตั้งข้อสังเกตว่า ไม่ใช่แค่ชาวต่างชาติเท่านั้น คนกัมพูชาก็ไม่มาเสียมเรียบเช่นกัน บางคนกลัวเหตุปะทะชายแดน คนอื่นๆ “กำลังวุ่นระดมบริจาคสิ่งของช่วยเหลือผู้ลี้ภัยและทหาร (แนวหน้า) จึงไม่มีใครมาซื้อของ”
การสู้รบยังมีอยู่ต่อไปหลังจากนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูลของไทย ให้คำมั่นว่า “จะเดินหน้าปฏิบัติการทางทหารจนกว่าเรารู้สึกว่าไม่มีอันตรายและไม่มีภัยคุกคามต่อแผ่นดินและประชาชนอีกต่อไป”โดยไม่สนใจความต้องการหยุดยิงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวบางคนยังมาเที่ยวกัมพูชาตามแผนเดิม แม้เกิดความขัดแย้งชายแดน อย่างแรนดี ซันเดล อดีตครู วัย 56 ปีจากชิคาโก เที่ยวเมืองไทยเสร็จแล้วบินมาเสียมเรียบ
“เราวางแผนการเดินทางครั้งนี้ไว้ตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ร่วง และเราทราบสถานการณ์ดี แต่ผมไม่กังวล เราอยู่ห่างไกลจากพื้นที่สู้รบมากจึงไม่รู้สึกว่าจะมีปัญหาอะไร” แรนดีกล่าว เขามากับแดนนี พาร์ค เจ้าของธุรกิจการศึกษา วัย 32 ปี ที่กล่าวว่า การสู้รบมีเฉพาะแนวชายแดน
“เราคุยกับหลายคนที่นี่ เพื่อนที่นี่ พวกเขาบอกว่า ส่วนใหญ่ก็ปกติดี”
ก่อนเกิดความขัดแย้งครั้งล่าสุด กัมพูชาต้องเผชิญกับข่าวเสียๆ หายๆ จากแก๊งมิจฉาชีพในประเทศอยู่แล้ว เมื่อต้นสัปดาห์นี้ สื่อของรัฐบาลกัมพูชารายงานว่า ทางการได้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายของเกาหลีใต้จับกุมผู้ต้องสงสัยประมาณ 50 คน และทลายแก๊งมิจฉาชีพออนไลน์ในเมืองสีหนุวิลล์ จังหวัดพระสีหนุ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ
ปาร์ค ชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลี เผย
“เพื่อนชาวเกาหลีหลายคนบอกฉันว่า คุณควรระวังตัวเวลาไปกัมพูชาตอนนี้ เพราะมีคนถูกลักพาตัวและถูกบังคับให้ทำงานในศูนย์สแกมเมอร์”
แม้แต่ก่อนปะทะ นักท่องเที่ยวก็มากัมพูชาลดลงอยู่แล้ว
สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ระหว่างเดือนมกราคมถึงตุลาคมนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือน 4.75 ล้านคน ลดลง 11.6%จากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2024เจ้าหน้าที่ระบุว่าสาเหตุมาจากนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านลดลงเพราะปฏิบัติการทางทหารของไทย
ปาร์ก ผู้ตั้งข้อสังเกตว่า เศรษฐกิจส่วนใหญ่ของกัมพูชาเป็นธุรกิจขนาดเล็ก
“ฉันหวังว่าพวกเขาจะแก้ไขวิกฤติชายแดนได้โดยเร็วที่สุด หวังว่าเราจะสามารถทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ และธุรกิจขนาดเล็กเหล่านี้ รวมถึงครอบครัวที่พึ่งพาธุรกิจเหล่านี้ จะสามารถกลับมาหารายได้ได้อีกครั้ง”
นอกจากผลกระทบเชิงลบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของกัมพูชาแล้ว บางคนยังเกรงว่าการปะทะกันอาจสร้างความเสียหายให้กับแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมในพื้นที่ชายแดนอีกด้วย
กัมพูชาอ้างว่ากองทัพไทยได้โจมตีบริเวณปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบ ทำให้สิ่งปลูกสร้างบางส่วนได้รับความเสียหาย
อินเดียแสดงความกังวลเกี่ยวกับรายงานความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพื้นที่อนุรักษ์ เนื่องจากอินเดียมีส่วนร่วมในการช่วยอนุรักษ์สถานที่ดังกล่าว
องค์การยูเนสโกเองก็เรียกร้องให้มีการ “ปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมของภูมิภาคในทุกรูปแบบอย่างเร่งด่วน” และ “ย้ำเตือนทุกฝ่ายถึงพันธกรณีและความมุ่งมั่นเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ”







