'สีหศักดิ์' ผิดหวัง ทรัมป์โพสต์ข้อมูลคลาดเคลื่อน ย้ำทุ่นระเบิดไม่ใช่อุบัติเหตุ อาเซียนพิสูจน์แล้ว

สีหศักดิ์แถลงชี้แจงกรณีการโพสต์ของปธน.ทรัมป์ ย้ำทหารไทยเสียชีวิตไม่ใช่เพราะ 'อุบัติเหตุระเบิดข้างทาง' แต่เป็นทุ่นระเบิดที่ คณะสังเกตการณ์อาเซียนพิสูจน์แล้ว ผิดหวังในฐานะพันธมิตรเก่าแก่ที่สุดของสหรัฐในอาเซียนแนะข้อเสนอฮุน มาเน็ตใช้ภาพถ่ายดาวเทียมพิสูจน์ใครเริ่มก่อน ให้พิสูจน์เรื่องทุ่นระเบิดด้วย
นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย แถลงชี้แจงเมื่อช่วงบ่ายวันนี้ (13 ธ.ค.) กรณีที่ประธานาธิบดีสหรัฐโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ข้อความทางโซเชียลมีเดียหลังการหารือทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งมีเนื้อหาที่ "คลาดเคลื่อน" ในหลายจุดและอาจสะท้อนว่า
ปธน.สหรัฐ อาจจะไม่ได้เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริง หรืออาจจะได้รับข้อมูลที่คลาดเคลื่อน หรือได้รับข้อมูลจากแหล่งที่จงใจทำให้ข้อมูลคลาดเคลื่อน
ประเด็นแรกที่ฝ่ายไทยรู้สึกไม่สบายใจคือ การที่มีข้อความระบุว่าเหตุการณ์ที่ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดและได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็น "Roadside Bombing" หรือเป็นเหตุ ระเบิดข้างทาง ที่เป็นอุบัติเหตุนั้น ตรงนี้ชัดเจนว่าไม่ใช่อุบัติเหตุ มีข้อเท็จจริงเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการที่ฝ่ายกัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่ และไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่มากถึง 7 ครั้ง ซึ่งทุ่นระเบิดใหม่นี้ได้รับการยืนยันแล้วจากคณะผู้สังเกตการณ์ของอาเซียน ไม่ใช่มาจากการพูดเพียงฝ่ายเดียวของไทย
"นอกจากเหตุการณ์ทุ่นระเบิดแล้ว วันนี้ (13 ธ.ค.) ก็ยังเกิดเหตุการณ์ยิงจรวด BM-21 มายังพื้นที่พลเรือนในจังหวัดศรีสะเกษ เพราะฉะนั้นจึงเป็นที่แน่นอนว่านี่ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดความความจงใจของฝ่ายกัมพูชา" นายสีหศักดิ์ กล่าว
ในข้อความของปธน.ทรัมป์ ยังมีการระบุข้อความถึงการโต้ตอบจากฝ่ายไทยว่า เป็นการใช้ความรุนแรง จึงอยากเรียนว่าการดำเนินการของฝ่ายไทย "เป็นการโต้ตอบที่ได้สัดส่วนจากปฏิบัติการณ์ทางทหารของฝ่ายกัมพูชา" และไม่ใช่การโต้ตอบที่เกินกว่าเหตุ
รมว.ต่างประเทศ กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยนับเป็นมิตรประเทศกับสหรัฐ แต่รู้สึกผิดหวังที่ข้อความดังกล่าวกระทบกับความรู้สึกของคนไทยและประเทศไทย ในฐานะที่มีความภูมิใจที่เป็นพันธมิตรทางสนธิสัญญาที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐในภูมิภาคนี้ และยังเป็น ประเทศพันธมิตรนอกนาโต้ (Major Non-NATO Ally) จึงรู้สึกผิดหวัง เพราะประเทศไทยกับสหรัฐเป็นประเทศพันธมิตรที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกันมามาก เราได้ต่อสู้เพื่อเผชิญความท้าทายด้านความมั่นคงร่วมกันมาในอดีต อีกทั้งประเทศไทยกับสหรัฐยังมีความสัมพันธ์บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกันทางด้านความมั่นคงทั้งในปัจจุบันและอนาคตต่อไป
"ไทยกับสหรัฐฯ ความร่วมมือพันธมิตรระหว่างกัน เราได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ... เรายังถือว่าประเทศไทยกับสหรัฐ ยังมีความสัมพันธ์บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกันทางด้านความมั่นคงอยู่ และจะยังคงมีอยู่ต่อไป"
สำหรับประเด็นที่นายกรัฐมนตรี "ฮุน มาเนต" ของกัมพูชา เรียกร้องให้มีการตรวจสอบเหตุการณ์ปะทะโดยใช้ข้อมูลดาวเทียมเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้น ประเทศไทยไม่มีปัญหาในส่วนนี้ และอยากเรียกร้องให้มีการตรวจสอบเรื่อง "ทุ่นระเบิด" ไปพร้อมกันด้วย
"ทางเราพร้อมอยู่แล้ว เมื่อครั้งที่ผมได้ไปเข้าร่วมการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ผมได้เรียกร้องให้มีการตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งหากมีคณะตรวจสอบข้อเท็จจริงไม่ว่าด้วยวิธีการใดก็ตาม ขอให้ตรวจสอบทั้งในเรื่องเหตุการณ์การปะทะและการใช้ทุ่นระเบิดด้วย"
อีกประเด็นหนึ่งที่ต้องการชี้แจงก็คือ "ขณะนี้ภัยคุกคามตามแนวชายแดนไม่ได้มาจากปฏิบัติการณ์ทางทหารของฝ่ายกัมพูชาเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาในรูปแบบของ SCAM หรือการฉ้อโกงหลอกลวงในหลายรูปแบบด้วย" มีผู้ได้รับผลกระทบจำนวนมากทั้งในแง่ของการค้ามนุษย์ มีผู้ที่ตกเป็นเหยื่อทั้งภายในภูมิภาคและนอกภูมิภาค เป็นเรื่องที่ทุกๆ ประเทศในประชาคมโลกทราบกันโดยถ้วนหน้าและต้องร่วมกันปราบปราม
ในส่วนของไทยก็ได้ดำเนินการเรื่องนี้เต็มที่ โดยในวันที่ 17-18 ธ.ค. 2568 นี้ จะมี “การประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการสร้างความเป็นหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต” ซึ่งเป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีเพื่อร่วมกันปราบปรามการหลอกลวงของเหล่าสแกมเมอร์
สำหรับประเด็นในด้านการค้า ฝ่ายไทยขอบคุณประธานาธิบดีทรัมป์ที่ยืนยันให้การเจรจาการค้าและภาษีศุลกากรดำเนินต่อไปในระดับเจ้าหน้าที่ โดยไม่เชื่อมโยงกับสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งสอดคล้องกับท่าทีของฝ่ายไทยมาโดยตลอด
ขณะเดียวกัน ฝ่ายไทยแสดงความกังวลต่อสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมบริเวณด่านพรมแดนปอยเปต ซึ่งมีคนไทยตกค้างราว 6,0007,000 คน และยังไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้ เนื่องจากฝ่ายกัมพูชายังไม่เปิดด่านตามที่ตกลงกันไว้ พร้อมระบุว่าการระงับการเดินทางข้ามแดนดังกล่าวถือเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างชัดเจน
"ขอขอบคุณปธน.ทรัมป์ ที่มีความห่วงใยสถานการณ์ชายแดนระหว่างไทยกัมพูชาในขณะนี้ และมีความหวังดีที่อยากจะเห็นสันติภาพ ซึ่งแน่นอนว่าประเทศไทยก็อยากจะเห็นสันติภาพเช่นเดียวกัน แต่สันติภาพคงไม่มาจากฝ่ายเดียว ต้องมาจากทั้งสองฝ่าย"







