ปัญหา ‘แม่น้ำกก’ ต้องรีบแก้ รัฐต้องเด็ดขาด-สื่อสารประชาชนชัดเจน

ปัญหา ‘แม่น้ำกก’ ต้องรีบแก้  รัฐต้องเด็ดขาด-สื่อสารประชาชนชัดเจน

ปัญหา ‘แม่น้ำกก’ ปนเปื้อนยังคงอยู่ เสียงจากประชาชนยังคงเรียกร้องให้รัฐบาลรีบแก้ไขปัญหา ต้องเด็ดขาด และสื่อสารประชาชนให้ชัดเจน

ต้นปีที่ผ่านมามีข่าวที่น่าใจหายสำหรับประชาชนทางภาคเหนือของไทย เมื่อพบว่า “แม่น้ำกก” เส้นชีวิตสำคัญของคนจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายปนเปื้อนสารพิษหลายชนิดจากการทำเหมืองแร่ในเมียนมา โดยเฉพาะสารหนูและตะกั่ว รัฐบาลประกาศห้ามลงน้ำ ประชาชนต้องหยุดจับปลา การค้าขายลำบาก การท่องเที่ยวได้รับผลกระทบหนัก กิจกรรมเชิงวัฒนธรรมริมน้ำกำลังเลือนหายไป เมื่อ “แม่น้ำแห่งสายชีวิต” เส้นนี้กลายเป็น “สิ่งต้องห้าม”

กรุงเทพธุรกิจได้เข้าร่วมโครงการ Building Network with Border Reporters /Regional Media Workshop ซึ่งจัดโดยสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทยและสำนักข่าวไทยพับลิก้า พบว่าประชาชนในลุ่มแม่น้ำกก อ.ท่าตอน จ.เชียงใหม่ ยังคงต้องการการแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรม แม้ข้อมูลจากรัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพบว่าสารปนเปื้อนในแม่น้ำเริ่มลดลง และมีแผนสร้างฝายดักจับตะกอนพิษ แต่ข้อมูลที่ไม่ชัดเจนและมาตรการที่คลุมเครือ ยังไม่สามารถทำให้ชาวบ้านสบายใจได้ และไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ

แม่น้ำเป็นพิษ วิถีชีวิตเปลี่ยน

พระมหานิคม มหาภินิกขมโน วัดท่าตอน กล่าวว่า แม่น้ำกกมีความสำคัญทั้งด้านเศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม การศึกษาและการท่องเที่ยว เมื่อปนเปื้อนสารพิษ วิถีชีวิตของผู้คนก็เปลี่ยนไป จากเดิมเป็นแหล่งทำมาหากิน ทั้งค้าขายและท่องเที่ยว ตอนนี้ซบเซาหนัก จากเดิมมีเรือเป็นร้อยลำ เหลือเพียง 3 ลำ จากที่เคยเป็นจุดหมายปลายทางช่วงเทศกาลสำคัญก็เริ่มถูกมองข้าม และรอยยิ้มของเด็กๆ กำลังหายไป เมื่อไม่สามารถลงเล่นน้ำได้อีก

ขณะที่ชาวบ้านผู้ประกอบอาชีพทั้งประมงและเกษตรกรรมต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทำมาหากินยากลำบากมากขึ้น ลุงชาวลาหู่คนหนึ่งเผยว่านับตั้งแต่เหตุการณ์น้ำท่วมปี 2566 ที่พัดบ้านหายไปทั้งหลัง ครอบครัวของตนยังคงเป็นหนี้สินจำนวนมาก แม้ได้รับเงินเยียวยาก็ยังไม่เพียงพอ หนำซ้ำยังมาเจอกับวิกฤติแม่น้ำกกปนเปื้อน ตกปลามากินไม่ได้ ยิ่งเพิ่มต้นทุนการใช้ชีวิต

คำแนะนำเรื่องการรับประทานปลายังคงคลุมเครือ ชาวประมงคนหนึ่งบอกว่า ครั้งแรกทางการแนะนำห้ามจับปลากิน ครั้งที่สองบอกว่ากินได้แต่ต้องปรุงสุก ไม่กินเครื่องใน หรือให้จำกัดการกินปลาต่อสัปดาห์ ขณะที่เด็กและหญิงตั้งครรภ์ห้ามรับประทานปลาจากแม่น้ำปนเปื้อน

ความไม่แน่นอนของข้อมูลทำให้ประชาชนสับสน ชาวประมงค้าขายปลาได้ลำบาก บางคนต้องเลิกจับปลาและหันไปหางานรับจ้างทั่วไปในเมืองเพื่อให้มีเงินใช้จ่ายในแต่ละวัน นอกจากนี้ยังมีความกังวลเรื่องสุขภาพทั้งระยะสั้น (ผื่นคันตามตัว) และระยะยาว (การรับประทานปลาปนเปื้อน) อีกด้วย

สายัญน์ ข้ามหนึ่ง ผู้อำนวยการสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต เผยว่า ทีมงานของตนเคยพบปลาในแม่น้ำกกมีตุ่มแปลกๆ ตั้งแต่ปีก่อน เช่น ปลาแค้ และปลากด และพบลักษณะนี้ราว 7 จุด ในแม่น้ำหลายสาย ทั้งแม่น้ำกก แม่น้ำโขง แม่น้ำคำ และแม่น้ำรวก ซึ่งจากการตรวจสอบผ่านแล็บ ม.นเรศวร พบว่า ปลาเหล่านั้นติดเชื้อในหลายระบบ รวมถึงระบบเลือด เนื่องจากแม่น้ำปนเปื้อนโลหะหนัก

ฝั่งผู้ประกอบการท่องเที่ยวก็เดือดร้อนไม่แพ้กัน นักท่องเที่ยวลด ที่พักริมแม่น้ำร้าง การจัดตลาดริมน้ำในเทศกาลต่างๆ ที่ผ่านมาขาดทุนยับ เนื่องจากของที่ใช้ค้าขายเสียหายตั้งแต่น้ำท่วม จึงต้องลงทุนเพิ่มอีกเท่าตัว จาก 4-5 หมื่น เป็นหลักแสนบาท แต่นักท่องเที่ยวในเทศกาลต่างๆ ทั้งสงกรานต์ ลอยกระทง และลอยอุปคุตที่เคยมีเรือนแสน กลับลดลงอย่างน่าใจหาย ทำให้ตลาดริมน้ำที่เคยทำกำไรให้แต่ละครัวเรือนหลักแสน กลายเป็นรายได้ติดลบแสนสาหัส

แสงระวี สุวีรการย์ รองประธานมูลนิธิร่มโพธิ์ เปิดเผยว่า จากการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นในช่วงสงกรานต์เพียงงานเดียว ปกติแล้วผู้ประกอบการ 10 ราย จะสามารถสร้างรายได้รวมกันมากถึง 3 ล้านบาท ภายใน 7 วัน เมื่อดูที่ยอดจริงแต่ละงานจะมีผู้ประกอบการราว 500 ราย ดังนั้นหากนักท่องเที่ยวลดลง ย่อมก่อให้เกิดมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ “มหาศาล”

ทั้งนี้ สิ่งที่ชาวบ้านต้องการและเรียกร้องมาโดยตลอดคือ 1.ปิดเหมืองในเมียนมา ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ 2.มีมาตรการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นที่เป็นรูปธรรม 3.ยกเลิกการสร้างฝายกั้นน้ำ เพราะอาจส่งผลเสียต่อที่ดินทำกิน 4.หาแหล่งน้ำสะอาดสำรอง และ 5.ให้ข้อมูลความรู้ในการรับมือและปรับตัวต่อวิกฤติอย่างชัดเจน

ความรุนแรงเงียบ

ด้าน ดร.สืบสกุล กิจนุกร จากสำนักงานนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ชี้ว่า วิกฤตการณ์แม่น้ำกกปนเปื้อนเป็น “ความรุนแรงเงียบ” เพราะสารพิษปนเปื้อนเสี่ยงเข้าสู่ร่างกายอย่างช้าๆ ซึ่งอาจไม่ได้มาจากการรับประทานปลาที่ปนเปื้อนเท่านั้น แต่อาจมาจากแหล่งน้ำอื่นๆ ด้วย เช่น น้ำประปา เนื่องจากหลายหมู่บ้านยังคงใช้น้ำประปาใต้ดินที่ถูกสูบขึ้นมาจากใต้ท้องแม่น้ำกกที่ปนเปื้อน ส่วนสารหนูและแบเรียมได้ไหลลงสู่แม่น้ำโขงแล้ว และพบการปนเปื้อนในน้ำประปาที่ผลิตจากแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกด้วย

นอกจากนี้ แม่น้ำปนเปื้อนอาจกระทบต่อห่วงโซ่อาหารได้ด้วย แม้ยังไม่มีการตรวจสอบการปนเปื้อนในพืช แต่เมื่อถึงหน้าแล้งและต้องใช้น้ำจากแม่น้ำกกทำการเกษตร อาจเสี่ยงทำให้พืชผลต่างๆ ปนเปื้อน และอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกพืชเศรษฐกิจในที่สุด

ขณะเดียวกันการตรวจสอบการปนเปื้อนทั้งในแหล่งน้ำหรือที่ดินเกษตรมีความล่าช้า เพราะต้องส่งตัวอย่างไปยังห้องแล็บในกรุงเทพฯ และรอผลนาน 1 เดือน ทำให้ข้อมูลที่มีเป็นข้อมูลอดีต ชาวบ้านไม่สามารถทราบได้ทันทีว่าแต่ละวันแม่น้ำปนเปื้อนมากน้อยเพียงใด

ดร.สืบสกุล จึงแนะนำให้จัดตั้งศูนย์ตรวจโลหะหนักใน จ.เชียงราย เพื่อตรวจสอบให้สามารถตรวจดิน น้ำ ข้าว ปลา พืชผัก ได้อย่างรวดเร็ว และขอให้ทางการใช้เครื่องมือตรวจคุณภาพน้ำที่มีประสิทธิภาพและมีความแม่นยำสูง

รัฐต้องให้ข้อมูลตรงไปตรงมา

ด้าน ผศ.ดร.ว่าน วิริยา อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี และสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ ม.เชียงใหม่ พบข้อมูลที่ไม่ตรงกันกับข้อมูลของหน่วยงานรัฐ 

คณะทำงานของศูนย์เพื่อศึกษาการปนเปื้อน ม.เชียงใหม่ ได้นำตัวอย่างน้ำจากแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ไปตรวจโลหะหนัก โดยเปรียบเทียบการตรวจด้วยชุดตรวจภาคสนาม (Test Kits) หลายรูปแบบ แต่พบว่าชุดตรวจของไทยที่มีราคาถูกกว่าไม่สามารถตรวจพบสารพิษปนเปื้อน ขณะที่ของสหรัฐพบสารปนเปื้อน

ผศ.ดร.ว่านยังได้ตั้งข้อสังเกตถึงผลการวัดระดับสารปนเปื้อนของภาครัฐที่ช่วงหลังมักพบว่ามีปริมาณใกล้เคียงกับเกณฑ์มาตรฐานอยู่เสมอ ขณะที่ผลการตรวจวัดของมช. และมทร. ล้านนา แสดงให้เห็นว่าระดับสารหนูยังคงเกินค่ามาตรฐานไปมาก

อาจารย์ว่านเน้นย้ำด้วยว่า การประเมินความเสี่ยงแม่น้ำปนเปื้อนควรคำนวณ “ความเสี่ยงรวม” ด้วย เพราะในความเป็นจริงผู้บริโภคอาจได้รับสารพิษจากหลายส่วนพร้อมกัน เช่น จากน้ำและอาหารที่ปนเปื้อน ซึ่งผลรวมของความเสี่ยงอาจเกินค่าความปลอดภัยไปแล้ว และคาดการณ์ด้วยว่าแม่น้ำโขงที่ได้รับสารพิษจากการทำเหมือง อาจส่งผลกระทบไปยังภาคอีสานของไทยไม่น้อยไปกว่าภาคเหนือ

ดังนั้น อาจารย์จึงเรียกร้องให้ภาครัฐและหน่วยงานเกี่ยวข้องให้ข้อมูลที่ชัดเจนแก่ประชาชน ขณะเดียวกันมช. ก็กำลังการจัดทำคู่มือสำหรับประชาชนเพื่อให้ชาวบ้านสามารถรับมือกับปัญหาโลหะหนักในแม่น้ำได้ต่อไป

“แม่น้ำอาเซียน” เสี่ยงปนเปื้อนหนัก รอบไทยมีเหมืองกว่า 2,400 แห่ง

สถาบันคลังสมองสติมสัน เซ็นเตอร์ ได้เผยแพร่ข้อมูลแดชบอร์ดเกี่ยวกับการทำเหมืองผิดกฎหมายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และพบว่า มีเหมืองผิดกฎหมายราว 2,420 แห่ง ทั้งเหมืองแบบฉีดสารชะล้างในแหล่งแร่ (Insitu leaching) สำหรับแร่หายาก เหมืองแบบกองชะละลาย (heap leach) สำหรับทอง ทองแดง นิกเกิล และแมงกานีส และเหมืองแบบตะกอนน้ำพา (Aluvialmining) สำหรับทอง เงิน และดีบุก ซึ่งเหมืองเหล่านี้ตั้งอยู่ในเมียนมา ลาว และกัมพูชา

อนึ่ง การสร้างแดชบอร์ดของสติมสัน อ้างอิงมาจากภาพถ่ายดาวเทียมแบบออปติคัลจากแพลนเน็ตแล็บส์ ตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งบางเหมืองอาจปิดทำการไปแล้ว และข้อมูลในแดชบอร์ดไม่ได้ครอบคลุมเหมืองทั้งหมดที่มีในภูมิภาค

สติมสันระบุ กฎระเบียบที่หละหลวม ธรรมาภิบาลที่ไม่ดี และการทุจริต ลาว เมียนมา และกัมพูชา เป็นสวรรค์สำหรับเหมืองแร่อันตรายที่ดำเนินการมาอย่างยาวนานโดยไร้การควบคุม โดยเฉพาะปัญหาทางการเมืองในเมียนมา นับตั้งแต่การทำรัฐประหารที่ก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม ผลักดันให้คนท้องถิ่นหันไปขุดแร่ขุดทองใกล้แม่น้ำอย่างผิดกฎหมาย เสี่ยงทำให้แม่น้ำสายหลักเกิดการปนเปื้อน เช่น แม่น้ำอิระวดี แม่น้ำโขง แม่น้ำสาละวิน เช่นเดียวกับแม่น้ำกกที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน

ไบรอัน อายเลอร์ นักวิจัยอาวุโส และผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ผู้อำนวยการโครงการพลังงาน น้ำ และความยั่งยืน จากสติมสัน เซ็นเตอร์ แนะไทยต้องติดตามเรื่องการเหมืองผิดกฎหมายอย่างเร่งด่วน เพื่อยับยั้งไม่ให้สารพิษปนเปื้อนลงสู่แม่น้ำ ได้แก่ 1.ทดสอบและการติดตามข้อมูลน้ำ ดิน และตะกอนตามแม่น้ำที่มีการทำเหมืองมากที่สุดอย่างเร่งด่วน 2. จัดหาแหล่งน้ำสะอาดให้กับประชาชนริมแม่น้ำทันที พร้อมให้ข้อมูลพื้นที่ที่ปลอดภัย 3. ใช้การทูตระหว่างประเทศหยุดยั้งการทำเหมืองในประเทศเพื่อนบ้าน และสื่อสารกับปักกิ่งเพื่อแก้ไขปัญหาเหมืองที่ไร้การควบคุม และ 4. ต้องมีความร่วมมือในระดับภูมิภาค โดยประเทศในลุ่มน้ำโขงควรใช้กลไกต่างๆเพื่อนำจีนเข้าสู่โต๊ะเจรจา เนื่องจากจีนเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมนี้

ก่อนหน้านี้ โฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับการปนเปื้อนของแม่น้ำที่อาจมีสาเหตุจากกิจกรรมการทำเหมืองของบริษัทจีนในประเทศเมียนมาว่า ฝ่ายจีนให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับเหตุการณ์นี้ โดยสนับสนุนให้ไทยและเมียนมาเสริมสร้างการสื่อสารและการประสานงาน ดำเนินการสอบสวนด้านวิทยาศาสตร์และมีความรับผิดชอบ และแก้ไขปัญหาด้วยการเจรจาอย่างเป็นมิตร ฝ่ายจีนได้กำหนดให้บริษัทจีนที่อยู่ในต่างประเทศปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศนั้น และดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายและกฎระเบียบโดยตลอด พร้อมยินดีที่จะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับประเทศต่างๆ ในลุ่มแม่น้ำโขง