ถอดบทเรียนน้ำท่วมใหญ่ กรณีศึกษา: ญี่ปุ่น | กันต์ เอี่ยมอินทรา

ถอดบทเรียนน้ำท่วมใหญ่ กรณีศึกษา: ญี่ปุ่น | กันต์ เอี่ยมอินทรา

ถอดบทเรียนรับมือภัยพิบัติ สิ่งที่ญี่ปุ่นมีแต่ไทยไม่มีคืองบประมาณที่มหาศาล ค่านิยมต่อภัยพิบัติของคนญี่ปุ่นที่ต่างจากคนไทย และทัศนคติต่อการแก้ไขปัญหาที่ญี่ปุ่นเน้นแก้เชิงระบบเชิงโครงสร้าง

ปัญหาน้ำท่วมหาดใหญ่ ร้ายแรงกว่าปัญหาชายแดนไทยกัมพูชา ทั้งในเชิงเม็ดเงินและการสูญเสียชีวิต และที่สำคัญที่สุดคือ ภัยธรรมชาตินั้นต่อรองไม่ได้ ไม่มีการเจรจา และนี่คือเหตุผลว่าทำไมหลายประเทศที่เจริญแล้วจึงมีการจัดการปัญหาที่เป็นระบบ ตั้งแต่การเตือนภัย การเตรียมพร้อม การรวมศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหา จนกระทั่งการเยียวยาเมื่อปัญหาสิ้นสุด

หาดใหญ่ คือ เมืองเศรษฐกิจอันดับ 1 ของภาคใต้ มีคนอยู่ประมาณ 4 แสนคน ไม่นับรวมคนที่อยู่อำเภอหรือจังหวัดใกล้เคียงที่เข้ามาทำงาน เข้ามาทำมาค้าขายวันต่อวัน มีการประมาณการว่าหาดใหญ่และสงขลานั้นมีขนาดเศรษฐกิจประมาณ 1.5% ของประเทศ ซึ่งถือว่าไม่น้อย

หาดใหญ่ และจังหวัดในภาคใต้รวม 9 จังหวัดได้รับผลกระทบอย่างหนักทั้งจากน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ และการช่วยเหลือที่ล่าช้า ไร้ทิศทาง ไร้กลยุทธ์ มีการประมาณการว่ากว่า 8 แสนครัวเรือนจำต้องอพยพย้ายที่อยู่ หลายคนติดอยู่ในบ้าน น้ำท่วมถึงเพดานชั้น 1 ไม่น้ำ ไม่มีอาหาร ไม่มีไฟ ไม่มีอินเทอร์เน็ต

ญี่ปุ่นคือหนึ่งในประเทศที่มีการบริการจัดการภัยพิบัติได้ดี ทั้งในระดับรัฐบาลและในระดับท้องถิ่น และที่สำคัญที่สุดคือ ค่านิยมทัศนคติการใช้ชีวิต เพราะภัยพิบัติเกิดขึ้นบ่อยในญี่ปุ่น การใช้ชีวิตของคนญี่ปุ่นจึงสะท้อนถึงความพร้อมต่อภัยพิบัติ อาทิ การกักตุนเตรียมอาหารน้ำดื่ม การออกแบบตึกรามบ้านช่อง หรือแม้กระทั่งการถอดรองเท้าหันหน้าออกประตูเพื่อเตรียมพร้อม

ในระดับท้องถิ่นและจังหวัด ญี่ปุ่นมีการจัดการเตรียมพร้อมรับภัย เส้นทางการหนีภัย ระบบการเตือนภัย ศูนย์อพยพหนีภัย รวมไปจนถึงงบประมาณและแผนบริหารในช่วงวิกฤติ นอกจากนี้ยังมีการถอดบทเรียนเพื่อพัฒนาการลดความสูญเสียในครั้งต่อไป และการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่คอยตรวจสอบถ่วงดุลให้ผู้บริหารระดับท้องถิ่นยึดโยงและตั้งใจทำงานเพื่อประชาชน

ในระดับรัฐบาล มีการสนับสนุนตั้งแต่งบประมาณ รวมไปจนถึงการเข้าไปแทรกแซงหรือช่วยเหลือกรณีที่เหลือบ่ากว่าแรงเกินมือระดับท้องถิ่น การออกแบบแก้ไขปัญหาภัยพิบัติในเชิงโครงสร้างคือหน้าที่หลักของรัฐ อาทิ การทำระบบตรวจจับแผ่นดินไหว โครงการสะพานน้ำ (Flood way) หรือเขื่อนขนาดใหญ่ริมแม่น้ำสายสำคัญ หรือแม้กระทั่งเขื่อนกั้นสึนามิ และท้ายที่สุดคือการช่วยเหลือเยียวยา ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเพื่อดึงเม็ดเงินกลับคืนสู่พื้นที่ภัยพิบัติ

สิ่งที่ญี่ปุ่นมีแต่ไทยไม่มีคืองบประมาณที่มหาศาล ค่านิยมต่อภัยพิบัติของคนญี่ปุ่นที่ต่างจากคนไทย และทัศนคติต่อการแก้ไขปัญหาที่ญี่ปุ่นเน้นแก้เชิงระบบเชิงโครงสร้าง และสิ่งสำคัญที่สุดที่ไทยขาดและสามารถเรียนรู้จากญี่ปุ่นได้คือ ความรวดเร็วทันท่วงที ตั้งแต่กระบวนการเตือนภัยไปจนกระทั่งการอพยพ สามารถวัดได้ในหน่วยนาที ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักต่อความสำคัญทั้งในระดับประชาชน ท้องถิ่นและรัฐบาล

น่าใจหายเมื่อได้เห็นคลิปภาพเมืองหาดใหญ่ในยามค่ำคืน น้ำท่วมไฟดับทั่วทั้งเมือง ผู้คนรอคอยความช่วยเหลือ และน่าเศร้าใจยิ่งกว่า เพราะยังมีผู้คนอีกมากมายนอกตัวเมืองกระจัดกระจายในบ้านชั้นเดียวที่ก็ยังรอคอยความช่วยเหลือเช่นกัน