สหรัฐมองนายกฯฮุนมาเนต หุ้นส่วนในอินโดแปซิฟิก

ชื่อของบทความวันนี้ ผมลอกมาจากบทวิเคราะห์ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ Nikkei Asia เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 ชื่อว่า ”US sees Cambodia's Hun Manet as potential partner in Indo-Pacific” และจะขอแปลสรุปบทความดังกล่าวในครั้งนี้ครับ
บทความนี้เริ่มด้วย การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่เก็บภาษีสินค้าที่นำเข้าจากกัมพูชาในอัตราที่สูงถึง 49% สูงกว่าไทยที่ประกาศเก็บที่ 39% โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาวให้เหตุผลว่า เป็นเพราะกัมพูชาคือประเทศที่มีการสวมสิทธิ์สินค้า (transshipment) จากจีนเข้ามาที่สหรัฐมากที่สุด
ดังนั้น สหรัฐจึงต้องปราบปรามการละเมิดกฎหมายสหรัฐดังกล่าวอย่างจริงจัง แม้จะรู้ว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจของกัมพูชาที่พึ่งพาตลาดสหรัฐอย่างมากคิดเป็นสัดส่วน 10% ของจีดีพีของกัมพูชา
แต่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์ก็ได้เปลี่ยนท่าทีที่แข็งกร้าวไปอย่างเห็นได้ชัด จากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ พบปะกับนายกรัฐมนตรีฮุนมาเนตที่การประชุมสุดยอดของอาเซียนเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ และได้ลงนามในข้อตกลงการค้าร่วมกันของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งลดการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากกัมพูชาลงเหลือ 19% อย่างเป็นทางการ
ต่อมาเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ นาย Marco Rubio ก็ได้ประกาศยกเลิกการห้ามขายอาวุธให้กับกัมพูชา เพราะกัมพูชาได้ “แสดงความมุ่งมั่นที่จะนำมาซึ่งสันติภาพและความมั่นคง รวมทั้งการกลับมาให้ความร่วมมือทางการทหารกับสหรัฐ ตลอดจนการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ”
(diligent pursuit of peace and security, including through renewed engagement with the United States on defense cooperation and combatting transnational crime).
นอกจากนั้น สหรัฐกับกัมพูชาก็จะกลับมาซ้อมรบประจำปี (Angkor Sentinel) ร่วมกันอีก หลังจากที่ได้ยุติการซ้อมรบดังกล่าวมานานถึง 8 ปี
การปรับเปลี่ยนท่าทีดังกล่าวของสหรัฐน่าจะเป็นผลมาจากการประเมินว่า นายกรัฐมนตรีฮุนมาเนตจะมีความพร้อมมากกว่าบิดาของเขาคือ อดีตนายกรัฐมนตรีฮุนเซน ที่จะกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา เพราะฮุนมาเนตเรียนจบจากโรงเรียนนายร้อย West Point และมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก
ต่อมาเมื่อหนังสือพิมพ์ Nikkei Asia ทำจดหมายสอบถามกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ก็ได้รับคำตอบอย่างเป็นทางการว่า “สหรัฐต้องการที่จะทำงานร่วมกับนายกรัฐมนตรีฮุนมาเนต และ ครม.ของเขา เพื่อขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ร่วมกันของประเทศทั้งสองในการนำมาซึ่งเสรีภาพ ความมั่งคั่ง ความมั่นคงและความยั่งยืนของภูมิภาคอินโดแปซิฟิก"
(The United States seeks to work with Prime Minister Hun Manet and his cabinet to advance our shared vision of a free, prosperous, secure and resilient Indo-Pacific)
ทั้งนี้การ “ชิมลาง” ของสหรัฐในการปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์กับกัมพูชา มิได้ริเริ่มในช่วงของประธานาธิบดีทรัมป์ในปีนี้ แต่สภาความมั่นคง (National Security Council) ของสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีไบเดน ได้จัดให้รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐสมัยนั้นคือ นายพล Lloyd Austin และผู้อำนวยการ AID ของสหรัฐเดินทางไปเยือนกัมพูชา เพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันในปี 2024
สภาความมั่นคงของสหรัฐ เชื่อว่า นายกรัฐมนตรีฮุนมาเนตจะต้องการ “กระจายความเสี่ยง” ในการสร้างพันธมิตรเพิ่มจากการที่กัมพูชาได้สนิทสนมเป็นพิเศษกับประเทศจีน ภายใต้การนำของบิดา คือนายฮุนเซน ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภาของกัมพูชา
ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าสหรัฐจะ “ให้” กัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะประธานาธิบดีทรัมป์มีนโยบายชัดเจนว่า ไม่ต้องการถูกประเทศใด “เอาเปรียบ” เห็นได้จากมาตรการตอบโต้กัมพูชาที่รุนแรงจากการเป็นศูนย์กลางของสแกมเมอร์
เช่น การประกาศมาตรการลงโทษบุคคลและบริษัทของกัมพูชา กว่า 140 ราย เพราะเกี่ยวข้องกับบริษัท Prince Holding Group และยึดเงินคริปโตของกลุ่มดังกล่าว มูลค่ากว่า 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนั้น สหรัฐก็ยังประกาศมาตรการลงโทษทางการเงินกับเพื่อนสนิทของนายฮุนเซน คือ นาย Ly Yong Phat และสถาบันการเงินของเขาซึ่งมีลูกพี่ลูกน้องของฮุนเซนถือหุ้นอยู่ด้วย
แต่ดูเหมือนว่า นายกรัฐมนตรีฮุนมาเนตจะยอมรับเงื่อนไขดังกล่าวของสหรัฐได้ เพราะได้แสดงไมตรีจิตกับประธานาธิบดีทรัมป์ โดยการชื่นชมบทบาทของทรัมป์ในการ “สร้างสันติภาพให้กับไทยและกัมพูชา” รวมทั้งการเสนอชื่อและสนับสนุนให้ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ
นอกจากนั้น กัมพูชาก็ยังได้ว่าจ้าง Lobbyist นำโดย อดีตเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลทรัมป์ โดยมีค่าว่าจ้างสูงถึง 38,000 เหรียญต่อเดือน
จะเห็นได้ว่า ผลประโยชน์ด้านความมั่นคงกับด้านเศรษฐกิจการค้านั้น ทั้งสหรัฐและกัมพูชา “ไม่ได้” แยกออกจากกันอย่างแน่นอน ดังนั้น ผมจึงไม่คิดว่า สหรัฐจะยอมแยกผลประโยชน์ด้านความมั่นคงกับผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจการค้าออกจากกัน ในการดำเนินนโยบายกับประเทศไทยครับ







