The Fractured Age: โลกแตกแยก มหาอำนาจแตกคอ

ในช่วงส่งท้ายปีเก่าที่พอจะมีเวลาบ้าง หนังสือที่ติดมือผู้เขียนในช่วงนี้คือ “The Fractured Age: How the Return of Geopolitics Will Splinter the Global Economy”
โดย Neil Shearing หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Capital Economics สำนักวิจัยเศรษฐกิจชื่อดัง โดยหนังสือเล่มนี้ได้รับการยกย่องจาก Financial Times ให้เป็นหนึ่งในหนังสือเศรษฐศาสตร์ยอดเยี่ยมประจำปี
หนังสือเล่มนี้เข้าถึงคำถามสำคัญที่สุดของศตวรรษที่ 21: สงครามเย็นรอบใหม่ระหว่างสหรัฐกับจีนจะจบลงอย่างไร ใครจะเป็นผู้ชนะ และโลกจะเป็นอย่างไรต่อไป โดยแม้สื่อและนักวิเคราะห์หลายคนจะพูดถึง “de-globalization” หรือกระแสโลกาภิวัตน์ถอยกลับ แต่ข้อมูลจริงไม่ได้สะท้อนเช่นนั้น การค้าโลกยังอยู่ใกล้ระดับสูงสุดตลอดกาล การเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศก็เช่นกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือ โลกกำลัง “แตกแยก” (fracture) ออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ โดยมีค่ายสหรัฐและพันธมิตรที่ครอบคลุม 68% ของ GDP โลก ขณะที่ค่ายจีนและพันธมิตรครอบคลุมเพียง 26% โดยตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ในปี 2018 โทรศัพท์มือถือ 75% ที่ขายในสหรัฐผลิตจากจีน
แต่ในปี 2025 เหลือน้อยกว่า 25% โดยอินเดียกลายเป็นผู้ส่งออกอันดับหนึ่ง ซึ่งนี่ไม่ใช่การลดการค้า แต่เป็นการ “ปรับเส้นทางห่วงโซ่อุปทาน” ไปยังประเทศที่เป็นมิตร หรือ friendshoring
สำหรับผู้เขียน มี 2 ประเด็นที่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ประการแรก สงครามเทคโนโลยี (Tech War) ที่ Shearing วิเคราะห์ว่า สหรัฐยังคงนำในด้าน cutting-edge technology โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์ชั้นสูง, AI และเทคโนโลยีการป้องกันประเทศ อย่างไรก็ตาม จีนถือแต้มสำคัญในด้าน rare earth elements ที่จีนควบคุมกว่า 70% ของการผลิตโลก และมากกว่า 90% ของกำลังการแปรรูป
ดังที่เห็นเมื่อเร็วๆ นี้ที่จีนประกาศจำกัดการส่งออกแร่ธาตุหายาก ทำให้ทรัมป์ขู่เก็บภาษีนำเข้า 100% ทันที สะท้อนให้เห็นว่าจีนมีอาวุธเศรษฐกิจที่ทรงพลังในมือ แม้จะไม่ได้นำในเทคโนโลยีชั้นสูงก็ตาม
ประเด็นที่สอง การครอบงำทางการเงิน (Financial Globalization) ผู้เขียนเห็นด้วยอย่างยิ่งกับวิเคราะห์ของ Shearing ว่า สหรัฐยังคงได้ประโยชน์มหาศาลจากสถานะของดอลลาร์ในฐานะ anchor currency ของโลก โดยเหตุผลสำคัญคือ (1) ตลาดทุนสหรัฐมีความลึก ความกว้างและสภาพคล่อง (liquidity) ที่ไม่มีตลาดใดเทียบได้
(2) ระบบกฎหมายและสถาบันที่เข้มแข็ง (3) จีนเองก็ยังต้องพึ่งพาตลาดดอลลาร์ เพราะดุลบัญชีเดินสะพัด (current account surplus) ทำให้จีนมีเงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้น จึงต้องการที่ลงทุนที่ปลอดภัย และตลาดดอลลาร์คือ ทางเลือกเดียว ฉะนั้น หากจีนพยายาม “ขายทิ้ง” ทรัพย์สินดอลลาร์ 9 ล้านล้านดอลลาร์ จะทำให้งบดุลของจีนเองพังด้วย
แม้ว่าผู้เขียนจะเห็นด้วยกับ Shearing ในระยะสั้น-กลาง แต่ในระยะยาว ผู้เขียนยังคงเชื่อในมุมมองของ Ray Dalio ผู้เขียนหนังสือ The Changing World Order และ How Countries Go Broke ที่เตือนว่า หากสหรัฐยังคงใช้อภิสิทธิ์ของการถือครองดอลลาร์ที่เป็นเงินสกุลหลักของโลก หรือ exorbitant privilege จากสถานะของดอลลาร์เป็นเครื่องมือแทรกแซงและกดดันประเทศอื่นอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะการใช้ดอลลาร์ และระบบการชำระเงินที่มีดอลลาร์เป็นสกุลหลักมาเป็นเครื่องมือ (weaponization) ในการดำเนินนโยบายการต่างประเทศ ผ่านมาตรการคว่ำบาตรและการแช่แข็งทรัพย์สิน อาจเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ โดยในปัจจุบัน เราเห็นสัญญาณเริ่มต้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็น
(1) การปรับพอร์ตของจีน ปัจจุบันจีนลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐลงมาแล้วกว่า 18-24 เดือน และเพิ่มการถือครองทองคำแทน Shearing เองก็ยอมรับว่าราคาทองที่พุ่งสูงเป็นสถิติในปีนี้มาจากนโยบายของจีนที่ต้องการ “sanction-proof” (ป้องกันการถูกคว่ำบาตร) เช่นเดียวกับที่รัสเซียสั่งสมทองคำในทุนสำรองของตนก่อนการบุกยึดยูเครน
(2) การผลักดันเงินหยวน แม้ว่าขณะนี้เงินหยวนยังมีข้อจำกัดมากมาย ทั้งเรื่องการควบคุมการไหลเข้าออกของเงินตรา และขนาดตลาดตราสารหนี้สกุลเงินหยวนที่ยังไม่ใหญ่นัก แต่จีนกำลังเพิ่มระดับการถือครองหยวนในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่ม BRICS+ และการค้าระหว่างประเทศที่ใช้เงินท้องถิ่นมากขึ้น รวมถึงเดินหน้าปล่อยเงินกู้ให้กับประเทศในแอฟริกาเพื่อใช้พัฒนาประเทศในรูปเงินหยวน
ประวัติศาสตร์สอนเราว่า การเปลี่ยนแปลงเงินสกุลหลักของโลกหรือ reserve currency เป็นกระบวนการที่ใช้เวลานับทศวรรษ เหมือนการเปลี่ยนจากปอนด์สเตอร์ลิงมาเป็นดอลลาร์ใช้เวลาเกือบ 50 ปี ดังนั้น ใน 20-30 ปีข้างหน้า เราอาจเห็นโลกที่มี “dual reserve currency system” หรือระบบที่มี anchor currency มากกว่าหนึ่งสกุล
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ Shearing ชี้ให้เห็นว่า การแตกแยกนี้จะสร้างความเสี่ยงต่อความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะประเด็นไต้หวันซึ่งเป็น “trigger point” ที่อันตรายที่สุด เพราะไต้หวันผลิตเซมิคอนดักเตอร์ชั้นสูงที่สหรัฐและจีนต่างต้องการ หากเกิดความขัดแย้งทางทหาร ผลกระทบต่อ GDP โลกอาจสูงถึง 10%
สำหรับไทยและอาเซียน อาจมีบทเรียนจากหนังสือเล่มนี้ 3 ประการคือ
(1) เราไม่สามารถ “เป็นกลาง” ได้ตลอดไป แม้ว่าไทยจะพยายามรักษาความสัมพันธ์กับทั้งสองฝ่าย แต่ในระยะยาว ประเทศต่างๆ จะถูกบังคับให้เลือกข้าง การที่จีนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่ง แต่สหรัฐเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงและเป็นตลาดสำคัญ ทำให้ไทยต้องทำ “balancing act” ที่ละเอียดอ่อนมาก รวมถึงอาจจำเป็นต้องคิดถึงกลยุทธ์ในระยะต่อไปอย่างชาญฉลาด
(2) ไทยยังมีโอกาสจาก Friendshoring โดยการที่สหรัฐลดการพึ่งพิงจีนเป็นโอกาสของไทย เวียดนามและอินเดีย ในการดึงดูดการลงทุนและห่วงโซ่อุปทาน แต่ต้องระวังอย่าให้นโยบาย America First กลายเป็นภาษีสูงสำหรับไทยด้วย
(3) เตรียมรับมือความผันผวน โดยราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะผันผวนมากขึ้น อัตราแลกเปลี่ยนจะไม่มั่นคง และเราอาจเห็นประเทศต่าง ๆ ใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ และภูมิเศรษฐศาสตร์ หรือที่เรียกว่า economic coercion มากขึ้น
กล่าวโดยสรุป ผู้เขียนเห็นด้วยกับ Shearing ว่า ในระยะสั้น-กลาง สหรัฐจะยังคงครอบงำระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก แต่ในระยะยาวหากสหรัฐยังคงใช้ดอลลาร์เป็น “อาวุธทางเศรษฐกิจ” อย่างไร้ขีดจำกัด ท่ามกลางการที่จีนค่อยๆ สร้างทางเลือกทางการเงินของตัวเอง
โลกอาจเข้าสู่ยุคของ “The Fractured Age” หรือโลกที่แตกเป็นสองระบบเศรษฐกิจและการเงินที่ขนานกันไป ซึ่งจะเป็นโลกที่มีต้นทุนสูงกว่า เสี่ยงมากกว่า และอันตรายกว่าโลกที่เราเคยรู้จักในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา
คำถามสำคัญที่ผู้กำหนดนโยบายและนักธุรกิจไทยต้องหาคำตอบให้เจอโดยเร็วที่สุดคือ เราจะอยู่รอดได้อย่างไรในโลกที่แตกแยก
บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด







