โลก ‘เดินตามรอยทรัมป์’ งัดภาษีสกัดสินค้าจีน!

โลก ‘เดินตามรอยทรัมป์’ งัดภาษีสกัดสินค้าจีน!

คลื่นภาษีของทรัมป์กำลังจุดไฟสงครามการค้ารอบใหม่ เมื่อสินค้าจีนราคาถูกทะลักจากอเมริกาสู่ยุโรปและเอเชีย บีบให้หลายประเทศต้องลุกขึ้น ‘ตอบโต้’ ด้วยมาตรการภาษี เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ

เว็บไซต์นิกเกอิ เอเชียรายงานว่า นโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และปัญหาการผลิตล้นเกินของจีน กำลังสร้างแรงกระแทกรุนแรงต่อการค้าโลก เมื่อสินค้าจีนถูกกีดกันออกจากตลาดอเมริกา และหันไปทะลักเข้าสู่ยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในราคาถูกเป็นพิเศษแทน

ขณะนี้ หลายประเทศเริ่ม “เดินตามแนวทางของทรัมป์” โดยเริ่มนำมาตรการภาษีตอบโต้มาใช้ หรืออยู่ระหว่างพิจารณา เพื่อปกป้องตลาดภายในของตนเอง

ก่อนหน้านี้ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ เคยระบุว่า ประเทศอื่น ๆ จะต้องขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนเช่นกัน เพราะโลกไม่อาจรองรับกำลังการผลิตส่วนเกินของจีนได้ ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวกำลังพิสูจน์ว่า “เป็นจริง”

“เม็กซิโก” เตรียมปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าราว 1,400 รายการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าจีน โดยอัตราภาษีอาจสูงถึง 50% ตั้งแต่เดือนมกราคม 2026 

ขณะที่ “เวียดนาม” ซึ่งการนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มขึ้น 23% ในช่วงถึงเดือนพฤศจิกายนปีนี้ ได้ปรับขึ้นภาษีเหล็กจากจีนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

“ยุโรป” เองก็เผชิญกระแสการหลั่งไหลของรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีน ส่งผลให้ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นว่า “พวกเราชาวยุโรปอาจจำเป็นต้องใช้มาตรการที่เข้มแข็งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า” เช่น การขึ้นภาษี หากปักกิ่งไม่ตอบสนอง

ขณะที่ประเทศอื่น ๆ เช่น “อินโดนีเซีย” ก็อยู่ระหว่างพิจารณามาตรการภาษีเช่นกัน เมื่อระบบขององค์การการค้าโลกไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โลกจึงมีแนวโน้มเห็นประเทศต่าง ๆ ใช้ภาษีเป็นเครื่องมือตอบโต้การผลิตล้นเกินของจีนมากขึ้น

หากพิจารณาข้อมูลการค้าของจีนในช่วงเดือนมกราคม-พฤศจิกายน จะพบว่า ส่งออกไปสหรัฐลดลง 19% เมื่อเทียบรายปี แต่การส่งออกไปสหภาพยุโรปและอาเซียนเพิ่มขึ้น 8% และ 14% ตามลำดับ แม้จะเผชิญแรงกดดันจากภาษีของทรัมป์ ดุลการค้าของจีนยังมีแนวโน้มทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกในปี 2025

จีนกำลังครองตลาดโลกด้วยกลยุทธ์ด้านราคาต่ำ ราคาต่อหน่วยของรถยนต์นั่งที่ผลิตในจีนและส่งออกไปยุโรปลดลง 9% ในช่วงสองปีที่ผ่านมา 

ขณะที่จำนวนการส่งออกเพิ่มขึ้นถึง 50% ราคาสินค้าเหล็ก ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แผงโซลาร์เซลล์ และสินค้าอื่น ๆ ก็ปรับลดลงเช่นกัน ส่งผลให้ราคาส่งออกโดยรวมลดลงถึง 17%
การลดราคาดังกล่าว ได้รับการสนับสนุนจากเงินอุดหนุนของรัฐบาลจีนอย่างมหาศาล ซึ่งจาก

การวิเคราะห์ของสถาบันคลังสมองในสหรัฐ ระบุว่า เงินอุดหนุนภาคอุตสาหกรรมของจีนมีมูลค่าราว 5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สูงกว่าสหรัฐหรือญี่ปุ่นถึง 10 เท่า

ไม่เพียงเท่านั้น กำลังการผลิตยานยนต์พลังงานใหม่ของจีน เช่น รถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริด ถูกประเมินว่าอยู่ที่ 36 ล้านคัน มากกว่าความต้องการในประเทศถึงสองเท่า 

แม้จีนจะครองสัดส่วนการผลิตทั่วโลก 30% แต่การบริโภคของจีนคิดเป็นเพียง 13% ของโลกเท่านั้น 

ขณะที่อัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาวยังอยู่ในระดับสูงที่ 17% ทำให้จีนแทบไม่มีทางเลือก นอกจากต้องเร่งส่งออกเพื่อรักษาการจ้างงาน

อ้างอิง: nikkei