เงินไหลกลับเข้า ‘อาเซียน’ คาดปี 69 เม็ดเงินทะลัก 2 หมื่นล้าน

เงินไหลกลับเข้า ‘อาเซียน’ กว่า 337 ล้านดอลลาร์ในเดือนธ.ค. ต่างชาติหนีฟองสบู่เทคโนโลยี ซบ ‘หุ้นราคาถูก’ คาดปี 69 เม็ดเงินทะลัก 2 หมื่นล้าน แต่ยังกังวลความเสี่ยงการเมือง
บลูมเบิร์ก รายงานว่า เงินทุนจากนักลงทุนทั่วโลกเริ่มไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือ “อาเซียน” อีกครั้งในเดือนธ.ค.นี้ ซึ่งเป็นสัญญาณบวกที่ชัดเจนหลังจากที่ซบเซามาเกือบตลอดทั้งปี ส่งผลให้อาเซียนกลายเป็นเป้าหมายสำคัญที่โลกต้องจับตามองในปี 2569
แม้ในปีที่ผ่านมา จะมีเงินไหลออกจากภูมิภาคนี้รวมกว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ในเดือนธ.ค.เพียงเดือนเดียว มีเงินไหลกลับเข้ามาแล้วกว่า 337 ล้านดอลลาร์ สูงสุดในรอบกว่า 1 ปี โดยมี ไทยและอินโดนีเซีย เป็นจุดหมายหลักที่นักลงทุนเริ่มกลับมาซื้อสะสม
ทำไมเงินทุนถึงไหลกลับเข้าอาเซียน?
สาเหตุหลักที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มเปลี่ยนใจกลับมาซื้อหุ้นในภูมิภาคมี 3 ปัจจัยสำคัญ
กระจายความเสี่ยง หนี ‘ฟองสบู่ AI’
นักลงทุนเริ่มกังวลว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและ AI ในตลาดโลกอาจมีราคาสูงเกินไป จึงหันมากระจายความเสี่ยงในตลาดอาเซียนที่มีพื้นฐานธุรกิจแตกต่างออกไปในตลาดเกิดใหม่มากขึ้น
คริสโตเฟอร์ หว่องนักวิเคราะห์ของ Fidelity International กล่าวว่าตลาดอาเซียน “มีกลไกขับเคลื่อนการเติบโตที่แตกต่างกันอย่างมาก กลุ่มประเทศอาเซียนน่าจะได้รับประโยชน์จากความต้องการโดยรวมของนักลงทุนที่จะขยายการลงทุนออกไปจากสหรัฐอเมริกา และออกไปจากภาคส่วนที่มีการแข่งขันสูงมาก เช่น ปัญญาประดิษฐ์”
ในปีที่ผ่านมา กระแสเงินทุนทั่วโลกไหลไปกระจุกตัวอยู่ในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น ในสหรัฐ ไต้หวัน หรือเกาหลีใต้ ที่ได้ประโยชน์โดยตรงจากการสร้างชิปและระบบ AI
MSCI ASEAN ส่วนใหญ่ประกอบด้วยหุ้นกลุ่ม "เศรษฐกิจเก่า" Old Economy เช่น ธนาคาร, พลังงาน, สินค้าอุปโภคบริโภค และอสังหาริมทรัพย์
เมื่อไม่มีหุ้นเทคโนโลยีระดับโลก ดัชนีอาเซียนจึงโตตามไม่ทัน และล้าหลังดัชนีเอเชียแปซิฟิกภาพรวมถึง 13% ซึ่งถือเป็นช่องว่างที่กว้างที่สุดในรอบ 5 ปี
หุ้นราคาถูก
แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักของภูมิภาค ทั้งอินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ มีสัญญาณการเติบโตที่ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนานใหญ่ ซึ่งช่วยกระตุ้นการจ้างงานและกำลังซื้อของภาคครัวเรือนให้ฟื้นตัว ประกอบกับนโยบายการเงินในหลายประเทศที่เริ่มผ่อนคลายลง ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำกำไรของภาคธุรกิจ
ในด้านความคุ้มค่าของการลงทุน เมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) พบว่า ดัชนีหุ้นมาตรฐานของไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ยังมีระดับราคาที่น่าดึงดูดใจ โดยซื้อขายกันเพียง 12 ถึง 15 เท่าของประมาณการกำไรล่วงหน้าหนึ่งปี
ในขณะที่ฟิลิปปินส์มีสัดส่วนต่ำกว่า 10 เท่า ซึ่งถือว่าถูกมากเมื่อเปรียบเทียบกับดัชนี S&P 500 ของสหรัฐที่พุ่งสูงกว่า 22 เท่า สะท้อนให้เห็นว่าตลาดหุ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงมีช่องว่างให้ราคาปรับตัวขึ้นได้อีกมาก เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นฝั่งตะวันตก
อานิสงส์การย้ายฐานผลิต
ประเทศเวียดนามได้รับประโยชน์เต็มๆ จากการย้ายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีน รวมถึงการถูกยกระดับสถานะตลาดหุ้นโดย FTSE Russell
การที่ FTSE Russell ประกาศปรับสถานะเวียดนามจาก "ตลาดชายขอบ" (Frontier Market) ขึ้นมาเป็น "ตลาดเกิดใหม่ระดับรอง" (Secondary Emerging Market) ถือเป็นจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะมีเม็ดเงินจากกองทุนทั่วโลกไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเวียดนามทันทีประมาณ 3,400 - 6,000 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากกองทุนดัชนีจำเป็นต้องซื้อหุ้นเวียดนามตามสัดส่วนใหม่
กังวล ‘ความไม่แน่นอนทางการเมือง’
ความไม่แน่นอนทางการเมืองกลับมาเป็นประเด็นหลักอีกครั้ง เมื่อนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ตัดสินใจประกาศยุบสภาเมื่อต้นเดือนธ.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลให้ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 8 ก.พ. 2569
สถาการณ์นี้ถือเป็นความท้าทายของไทย จากช่วงรอยต่อของรัฐบาลรักษาการมักทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณและการตัดสินใจเชิงนโยบายสะดุดลง และตลาดหุ้นมักจะเผชิญกับภาวะ "Wait and See" หรือรอดูท่าทีอีกครั้ง เพื่อรอความชัดเจนว่าพรรคใดจะได้จัดตั้งรัฐบาล และนโยบายเศรษฐกิจหลังจากนี้จะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด
ในฝั่งของอินโดนีเซีย นักลงทุนต่างชาติกำลังจับตามองนโยบายของประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโตอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะโครงการประชานิยมขนาดใหญ่ เช่น โครงการอาหารกลางวันฟรี ซึ่งต้องใช้งบประมาณมหาศาลสูงถึง 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี จนทำให้นักวิเคราะห์กังวลเรื่องการขาดดุลงบประมาณและความมั่นคงทางการคลัง
รวมทั้งนโยบายรวมศูนย์อำนาจ เมื่อการปรับเปลี่ยนโครงสร้างรัฐวิสาหกิจและการใช้แนวทางสั่งการแบบเบ็ดเสร็จ สร้างความกังวลเรื่องความโปร่งใสและบรรยากาศการทำธุรกิจสำหรับทุนข้ามชาติ
คาดเงินไหลเข้า 2 หมื่นล้านดอลลาร์
JPMorgan Chase & Co. ได้ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า "ราคาหุ้นที่ไม่แพง" คือหัวใจสำคัญที่ทำให้นักลงทุนประเภทเน้นคุณค่า (Value Investors) เริ่มหันกลับมามองอาเซียนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของผลกำไรบริษัทจดทะเบียน ซึ่งกระแสเงินทุนที่ไหลกลับเข้ามาอย่างชัดเจนในเดือนนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่ JPMorgan คาดการณ์ไว้นั้นถูกต้อง
นอกจากนี้ ทีมนักวิเคราะห์ยังระบุในรายงานฉบับล่าสุดว่า หากนักลงทุนต่างชาติปรับสัดส่วนการถือครองหุ้นในภูมิภาคนี้กลับไปสู่ระดับค่าเฉลี่ยของรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอาเซียนอาจได้เห็นเม็ดเงินไหลเข้ามหาศาลสูงถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้พุ่งทะยานในปี 2569
อ้างอิง Bloomberg







