ความเข้มแข็งและเปราะบางของเศรษฐกิจโลกปี 2025

ความเข้มแข็งและเปราะบางของเศรษฐกิจโลกปี 2025

ปี 2025 ที่กำลังจะจบลง เป็นปีที่เศรษฐกิจโลกวุ่นวายมาก และเป็นปีที่เศรษฐกิจโลกแสดงให้เห็นทั้งความเข้มแข็งและความเปราะบางที่มีอยู่พร้อมกันในเศรษฐกิจโลก

ความเข้มแข็งคือ ความสามารถของเศรษฐกิจโลกในระดับจุลภาค หมายถึง บริษัท ตลาดการเงิน เทคโนโลยี ที่สามารถประคับประคองเศรษฐกิจโลกให้ขยายตัวผ่านแรงกระทบหนักๆที่เกิดขึ้นในปี 2025 ไปได้ เช่น ภาษีทรัมป์และความไม่แน่นอนทางนโยบาย ไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย

โดยการปรับตัวของภาคธุรกิจที่เร่งการนำเข้าส่งออกสินค้าไปสหรัฐก่อนอัตราภาษีใหม่จะเริ่มใช้ เร่งลงทุนด้านเทคโนโลยี เอไอ พลังงานสะอาด เพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษีและราคาพลังงานที่สูงขึ้นจากผลของสงคราม 

ขณะที่ตลาดการเงินตอบรับการลงทุนเหล่านี้เป็นอย่างดี ตลาดหุ้นปรับสูงขึ้น เพราะผลที่จะมีต่อผลิตภาพ (Productivity) และการเติบโตของเศรษฐกิจระยะยาว ทั้งหมดได้ช่วยลดดิสรัปชันและผลกระทบจากภาษี ทำให้ทั้งธุรกิจและเศรษฐกิจโลกไปต่อได้

ตรงกันข้าม ความเปราะบางคือ ระดับมหภาคทั้งการเมือง นโยบายเศรษฐกิจ และความเข้มแข็งเชิงสถาบันขององค์กรที่กำหนดนโยบาย ในประเทศและระหว่างประเทศ ที่เสื่อมถอยและอ่อนแอลงชัดเจน จากที่การเมืองภายในของประเทศหนึ่งสามารถกำหนดกฎเกณฑ์และระเบียบการค้าที่กระทบเศรษฐกิจทั่วโลก คือ ภาษีทรัมป์

สร้างความไม่แน่นอนให้กับเศรษฐกิจโลกมาก ซึ่งแม้ระยะสั้นเศรษฐกิจโลกจะปรับตัวได้ แต่ความเสียหายระยะยาวก็ซ่อนอยู่และเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้

วันนี้จึงอยากฝากข้อคิดไว้สามข้อจากสิ่งที่เห็นในเศรษฐกิจโลกปี 2025 เพื่อเป็นแนวสำหรับเข้าใจและวิเคราะห์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในเศรษฐกิจโลกปี 2026 และปีต่อๆไป นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้

ข้อคิดแรก การเมืองและตลาดการเงินเหมือนกันคือไม่ต้องการเหตุผล

ที่สรุปอย่างนี้เพราะการเมืองและตลาดการเงินโดยโครงสร้างของระบบแรงจูงใจที่ทั้งการเมืองและตลาดการเงินมีจะเหมือนกัน คือ มองโลกระยะสั้น (Short-termism) ไม่สนใจผลกระทบระยะยาวที่จะมีตามมา ผลระยะสั้นที่การเมืองสนใจคือคะแนนเสียงเลือกตั้ง ส่วนที่ตลาดการเงินสนใจคือ ผลตอบแทนต่อการลงทุนซึ่งก็ระยะสั้นเหมือนกัน

ในประเด็นนี้ สิ่งที่ปี 2025 สะท้อนให้เห็นคือ การเมืองที่เด็ดเดี่ยวมุ่งรักษาคำพูด เก็บภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐและปกป้องภาคอุตสาหกรรมสหรัฐจริงจัง เพื่อให้ได้คะแนนเสียง ไม่สนใจผลที่จะเกิดขึ้นตามมาเพราะเป็นเรื่องระยะยาวที่อาจเลยวงจรเลือกตั้งของรัฐบาลไปแล้ว

ขณะที่ตลาดการเงินปี 2025 ก็ผันผวนหวือหวาตามสตอรี่ทางการเมืองโดยไม่สนใจเหตุผล สนใจสิ่งที่นักการเมืองพูดมากกว่าปัจจัยพื้นฐาน สนใจผลประกอบการระยะสั้นมากกว่าความเข้มแข็งระยะยาว 

แต่ทั้งหมดก็พูดไม่ได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ไม่มีเหตุมีผล เพราะเป็นการตัดสินใจตามระบบแรงจูงใจที่มี คือ การเมืองทำทุกอย่างเพื่อผลเลือกตั้งและตลาดการเงินทำทุกอย่างเพื่อผลตอบแทนที่สูง ไม่มีใครผิดเพราะระบบแรงจูงใจเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องนึกถึงต้นทุนระยะยาวต่อเศรษฐกิจ ต่อประชากรรุ่นต่อไป หรือผลต่อความเสื่อมของการทำนโยบายและระบบเศรษฐกิจ

นี่คือ ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่เมื่อจุดเริ่มต้น คือระบบแรงจูงใจผิดพลาด ซึ่งคงไม่มีใครคิดแก้ไข ทำให้ปีหน้าจะคล้ายกัน คือทุกอย่างเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องมีเหตุผล

ข้อคิดที่สอง นโยบายเศรษฐกิจที่ไม่ดีทำลายประเทศ แม้ผลระยะสั้นดูไม่เสียหาย

นโยบายที่ไม่ดีหรือนโยบายเลวมักจะไม่สร้างความเสียหายรุนแรงต่อเศรษฐกิจทันที ทำให้คนทั่วไปไม่ตระหนัก แต่จะทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอ และความอ่อนแอจะสะสมจนในที่สุดปะทุขึ้นเป็นวิกฤติและประเทศล้มละลาย ที่ต้องตระหนักคือความเลวร้ายของนโยบายที่ไม่ดีไม่ได้อยู่ที่ตัวนโยบายที่ไม่ดีเท่านั้น แต่อยู่ที่ความถูกต้องที่ถูกทำลายลงโดยนโยบายที่ไม่ดี

นำไปสู่ความเสื่อมของระเบียบในระบบเศรษฐกิจ ความเสื่อมในความไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อนักการเมืองและสถาบันราชการที่ทำนโยบาย และความศักดิ์สิทธิ์ที่ลดลงของระเบียบ นโยบาย และกฎหมายที่ประเทศมี ความเสื่อมเหล่านี้คือสิ่งที่ทำลายประเทศ เริ่มต้นด้วยนโยบายที่ไม่ดี

กรณีเศรษฐกิจโลกปี 2025 ผมคิดว่าการขึ้นภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐกับทุกประเทศทั่วโลกเป็นนโยบายที่ไม่ดีในแง่เศรษฐศาสตร์ และชี้ชัดว่ากฎเกณฑ์ระดับสากลเช่นการค้าโลกสามารถเปลี่ยนได้ตามการเมืองภายในของบางประเทศ ที่เกิดขึ้นคือ อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐเพิ่มจากเฉลี่ยร้อยละ 2-3 ปีก่อนหน้าเป็นเฉลี่ยร้อยละ 17-18 ในปัจจุบัน สูงสุดในรอบ 90 ปี ซึ่งเพิ่มต้นทุนมหาศาลให้กับเศรษฐกิจโลก ทำให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัวอย่างที่กล่าว

ในระยะสั้น แม้ภาคธุรกิจจะปรับตัวได้ เศรษฐกิจโลกขยายตัวได้ แต่ต้นทุนที่สูงขึ้นก็ยังคงอยู่และสะสม ในช่วงแรกความสำเร็จของการปรับตัวอาจทำให้ผู้ทำนโยบายได้ใจ ยืนระยะนโยบายเลวให้นานขึ้นหรือทำมากขึ้น จากมาตรการชั่วคราวเป็นมาตรการถาวร ทำให้ประสิทธิภาพของการจัดสรรทรัพยากรของประเทศยิ่งด้อยลง

เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราต่ำลง พร้อมกับความไว้วางใจต่อการทำนโยบายยิ่งเสื่อมลง สิ่งเหล่านี้ในระยะแรกจะมองไม่เห็น แต่นานเข้าตัวเลขจะฟ้อง และเมื่อถึงจุดนั้นทุกอย่างก็อาจสายเกิน นี่คือสิ่งที่อาจเริ่มเกิดขึ้นในสหรัฐในปีหน้า

ข้อคิดที่สาม อย่ามองต่ำความสามารถของภาคธุรกิจในการปรับตัว เพราะทำได้ดีเกินคาด

ความแตกต่างสำคัญที่เห็นในเศรษฐกิจโลกปี 2025 คือ ความเข้มแข็งของผู้เล่นในระดับจุลภาค คือ บริษัท ตลาดการเงิน และเทคโนโลยี ที่ทำให้เศรษฐกิจโลกสามารถปรับตัวรับแรงกระทบจากนโยบายที่ไม่ดีได้ ขณะที่ในระดับมหภาค ทั้งการเมือง นโยบาย และความเข้มแข็งเชิงสถาบันขององค์กรที่ทำนโยบายล้วนอ่อนแอ เสื่อมถอยลง และสร้างความไม่แน่นอนให้กับเศรษฐกิจโลกมาก

ภาคธุรกิจปรับตัวทันทีเมื่อมีข่าวเรื่องภาษี เร่งนำเข้าและส่งออกสินค้าไปสหรัฐก่อนอัตราภาษีใหม่จะเริ่มใช้ ขยายโกดังสต๊อกสินค้า ปรับห่วงโซ่การผลิต ปรับราคา วิธีและเส้นทางขนส่งสินค้าไปสหรัฐ รวมทั้งแชร์ภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นระหว่างผู้นำเข้าและส่งออก นอกจากนี้ยังเร่งลงทุนในเทคโนโลยี เอไอ พลังงานสะอาด เพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นทั้งจากภาษีและราคาพลังงาน 

ทั้งหมดเป็นการปรับตัวเพื่อให้ธุรกิจไปต่อได้เมื่อดิสรัปชั่นเกิดขึ้น เป็นการตอบสนองนโยบายที่ไม่ดีเร็วกว่าที่ภาครัฐคาด แสดงถึงพลังที่เหนือความคาดหมาย ที่ต้องตระหนักคือความสามารถในการปรับตัวอาจดูดีระยะสั้นในแง่การรักษามาร์จิ้นและกำไร แต่ที่ซ่อนไว้คือต้นทุนที่สูงขึ้นต่อเศรษฐกิจโลกจากนโยบายที่ไม่ดี ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจโลกในระยะยาว

นี่คือข้อคิดสามข้อที่อยากฝากไว้ ซึ่งชัดเจนว่า เศรษฐกิจโลกที่ยังไปได้ปีนี้ เป็นเพราะได้ความสามารถของภาคธุรกิจเข้ามาช่วย ทดแทนความอ่อนแอที่มีมากขึ้นในสถาบันภาครัฐ เป็นพัฒนาการและความสมดุลที่อาจไม่ยั่งยืน ทำให้ต้องคิดในแนวนี้มากขึ้นสำหรับปีหน้า