แนวโน้มและความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกปี 2026 (2)

ครั้งที่แล้วผมสรุปว่า เศรษฐกิจโลกนั้นคาดการณ์ว่าจะขยายตัว ได้ 3.1% ในปี 2026 โดยเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วจะขยายตัว 1.6% และเศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนาจะขยายตัว 4%
แต่เป็นการมองโลกในแง่ดี กล่าวคือ หากคาดการณ์ผิดก็น่าจะผิดในเชิงที่เศรษฐกิจขยายตัวจริงได้ต่ำกว่าการคาดการณ์ดังกล่าว ซึ่งผมได้นำเสนออีกด้วยว่า ในการประเมินแนวโน้มของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะในส่วนของความเสี่ยงนั้น เราจะไม่สามารถไปไล่ดูเศรษฐกิจของทั้ง 190 ประเทศของโลกได้
ผมจึงจะจำกัดขอบเขตของการประเมิน โดยให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจและความเสี่ยงเพียง 7 ประเทศ คือ สหรัฐ จีน เยอรมนี ญี่ปุ่น อินเดีย อังกฤษและฝรั่งเศส เป็นหลัก เพราะ 7 ประเทศดังกล่าวมีจีดีพีคิดเป็นสัดส่วน 61.4% ของจีดีพีโลก นอกจากนั้น เงินเหรียญสหรัฐ เงินยูโร (ใช้ในประเทศเยอรมนีและฝรั่งเศสและอีก 18 ประเทศพัฒนาแล้ว)
ตลอดจนเงินเยนของญี่ปุ่น เงินหยวนของจีน และเงินปอนด์ของอังกฤษก็ยังเป็นเงินสกุลหลักของโลกอีกด้วย โดยวันนี้จะเริ่มจากการประเมินเศรษฐกิจของสหรัฐก่อน
สหรัฐ ความเสี่ยงของเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2026 คือ การที่เงินเฟ้ออาจจะสูงเกินคาด (จากปัจจุบันที่ 2.8%) ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ ไม่สามารถปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย (ดอกเบี้ยระยะสั้น) ได้อีกในปี 2026 รวมทั้งความเป็นไปได้ที่เงินเหรียญสหรัฐจะอ่อนค่าลงไปอีก หลังจากที่ปี 2025 อ่อนค่าลงไปแล้วประมาณ 8% (แต่ต้องขอยอมรับว่าไม่มีใคร คาดการณ์ค่าเงินได้อย่างแม่นยำในทุกกรณี)
ทำไมจึงมองเช่นนั้น? เพราะนโยบายต่างๆ ของประธานาธิบดีทรัมป์ล้วนแล้วแต่จะเพิ่มต้นทุนการผลิต และ/หรือเพิ่มกำลังซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งเสี่ยงที่จะทำให้เงินเฟ้อสูงเกินคาด (แม้ว่าในมิติทางการเมืองนั้น ทีมของทรัมป์จะพยายามอย่างเต็มความสามารถที่จะตอบสนองการเรียกร้องของประชาชน ที่กำลังเผชิญกับปัญหา “การชักหน้าไม่ถึงหลัง” หรือ affordability)
นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ทำให้เงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น ได้แก่
1.การปรับขึ้นภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าสหรัฐจาก 2% เป็นเฉลี่ย 15% ทำให้สินค้านำเข้าแพงขึ้น โดยผู้ประกอบการสหรัฐ กำลังทยอยปรับขึ้นราคาสินค้าอย่างต่อเนื่องและจะยืดเยื้อไปถึงปี 2026
2.การออกกฎหมาย One Big Beautiful Bill ซึ่งลดภาษีและเพิ่มรายจ่าย ทำให้รัฐบาลขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และกดดันให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น
3.การไล่คนต่างชาติที่ทำงานในสหรัฐอย่างผิดกฎหมายออกนอกประเทศ และการจำกัดการนำเข้าแรงงาน กำลังจะทำให้แรงงานขาดแคลนในระยะกลาง และระยะยาว แม้ว่าขณะนี้บริษัทต่างๆ จะพยายามยับยั้งการจ้างงานเพิ่ม
4.ประธานาธิบดีทรัมป์จะเปลี่ยนตัวผู้ว่าการธนาคารกลางคนใหม่ในกลางปี 2026 เพื่อจะสามารถสั่งให้ลดดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างต่อเนื่อง ในปีที่จะมีการเลือกตั้ง สมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกผู้แทนราษฎรตอนปลายปี
นอกจากนโยบายดังกล่าวแล้ว ความคาดหวังที่สูงมากของนักลงทุนเกี่ยวกับหุ้นเอไอ ที่ได้ผลักดันให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากใน 3 ปีที่ผ่านมา (ภาษาฝรั่งเรียกว่า priced for perfection) และกระแสการลงทุนเพื่อขับเคลื่อนภาคเอไอ ได้แก่ การสร้างเดต้าเซนเตอร์และโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น มูลค่า 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จะเป็นการเพิ่มอุปสงค์ที่ เป็นแรงกดดันให้ราคาสินค้าและบริการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย
ดังนั้นจึงมี 5 ปัจจัยที่กล่าวข้างต้น น่าจะทำให้การปรับลดเงินเฟ้อของสหรัฐในปี 2026 อย่างมีนัยยะสำคัญจากระดับเงินเฟ้อที่ 3% ณ ขณะนี้ เป็นไปได้ยาก
นอกไปจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐ นาย Scott Bessent ก็ยังมีนโยบายให้กระทรวงคลังสหรัฐ ขายพันธบัตรระยะสั้น อายุ 2-3 ปีเป็นหลัก แทนที่จะพยายามขายพันธบัตรระยะยาวตามหลักสากล เพื่อลดความเสี่ยงที่จะต้องออกพันธบัตรรัฐบาลบ่อยๆ เพื่อต่ออายุหนี้สาธารณะ (เห็นได้จากรูปประกอบ)
จะเห็นได้ว่า สัดส่วนของหนี้สาธารณะระยะสั้นต่อหนี้สาธารณะทั้งหมดของรัฐบาลสหรัฐนั้น สูงกว่าของประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด คือมีสัดส่วนสูงถึง 30.9% และหนี้สาธารณะของสหรัฐที่ออกเป็นหนี้ระยะสั้น (Treasury Bills โดยดูแกน Y) มีสัดส่วนสูงกว่า 50% ของหนี้สาธารณะทั้งหมด
โดยเฉลี่ยแล้ว หนี้สาธารณะของสหรัฐมีอายุเพียง 6 ปี เทียบกับอังกฤษที่เคยถูก “ตลาดถล่ม” สมัยนายกรัฐมนตรี Liz Truss ในปี 2022 ที่นำเสนอนโยบายลดภาษี ทำให้ขาดดุลงบประมาณ และขาดวินัยทางการคลังส่งผลให้ถูกตลาด “ลงโทษ” ทำให้ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก และเงินปอนด์อ่อนค่า นายกรัฐมนตรี Liz Truss ต้องลาออกหลังจากการเข้ารับตำแหน่งได้เพียง 44 วัน
วันนี้ รัฐของอังกฤษได้ยืดอายุหนี้สาธารณะจนเฉลี่ยมีอายุยืนยาวถึง 14 ปี อีกประเทศหนึ่งที่มีหนี้สาธารณะสูงมากคือญี่ปุ่น ก็ยังบริหารจัดการให้หนี้สาธารณะมีอายุเฉลี่ยประมาณ เกือบ 10 ปี
หากสหรัฐควบคุมเงินเฟ้อไม่ได้ และไม่สามารถลดดอกเบี้ยนโยบาย (ซึ่งเป็นดอกเบี้ยระยะสั้น) ได้ตามคาด ก็จะทำให้ต้นทุนในการออกพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐสูง แม้จะออกเป็นพันธบัตรระยะสั้นหรือระยะยาว แต่จะมีความเสี่ยงว่า เมื่อมีหนี้ระยะสั้นอยู่มาก ก็จะต้องออกพันธบัตรใหม่บ่อยครั้ง เพื่อกู้มาทดแทนการขาดดุลงบประมาณที่มีสัดส่วนสูงถึง 5% ของจีดีพี
ตรงนี้แปลว่า ปี 2026 มีความเสี่ยงที่อัตราดอกเบี้ย ระยะกลางและระยะยาวจะมีความผันผวน และปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2025 ครับ







