หนี้จีน ‘พุ่ง 3 เท่า’ ของขนาดศก. แตะ 300% ของ GNP

หนี้จีน ‘พุ่ง 3 เท่า’ ของขนาดศก. แตะ 300% ของ GNP

หนี้จีนพุ่งกว่า ‘3 เท่า’ ของขนาดเศรษฐกิจ ท่ามกลางการเติบโตที่ชะลอลงและแรงกดดันเงินฝืดที่ทวีความรุนแรง สัญญาณเหล่านี้กำลังทำให้โครงสร้างหนี้ของจีนเข้าใกล้ภาพญี่ปุ่นก่อนวิกฤติ พร้อมตั้งคำถามสำคัญว่า จีนยังเหลือพื้นที่ทางการคลังมากแค่ไหนในการพยุงเศรษฐกิจในยุคสังคมสูงวัย

เว็บไซต์นิกเกอิ เอเชียรายงานว่า ภาระหนี้ของจีนมีขนาดใหญ่กว่าขนาดเศรษฐกิจถึงกว่า “3 เท่า” และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ กำลังคุกคามให้ภาระหนี้ดังกล่าวให้สูงขึ้นอีก

ข้อมูลล่าสุดจากสถาบัน National Institution for Finance & Development (NIFD) ซึ่งเป็นคลังสมองที่เชื่อมโยงกับภาครัฐของจีน ระบุว่า ณ สิ้นเดือนกันยายน อัตราส่วนหนี้ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GNP) ของจีนอยู่ที่ 302.3% โดยตัวเลขดังกล่าวรวมถึงหนี้ของภาคครัวเรือน หน่วยงานภาครัฐ และภาคธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน

ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้น 1.9 จุดเปอร์เซ็นต์จากสิ้นเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงที่อัตราส่วนหนี้ต่อเศรษฐกิจทะลุระดับ 300% เป็นครั้งแรก ขณะที่ยอดหนี้รวมของประเทศขณะนี้สูงเกิน 400 ล้านล้านหยวน หรือราว 57 ล้านล้านดอลลาร์

ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ภาคธุรกิจและครัวเรือนเริ่มลังเลที่จะก่อหนี้ใหม่ ส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนมีแนวโน้มชะลอลงต่อไป และเพิ่มความเสี่ยงของภาวะ “เงินฝืดจากหนี้สิน” 

ขณะเดียวกัน อัตราส่วนหนี้ของภาครัฐต่อ GDP เพิ่มขึ้น 2.2 จุดเปอร์เซ็นต์จากสิ้นเดือนมิถุนายน มาอยู่ที่ 67.5% ณ สิ้นเดือนกันยายน สาเหตุหลักมาจากการออกพันธบัตรรัฐบาลในปริมาณมากขึ้น เพื่อนำเงินไปใช้ในโครงการโครงสร้างพื้นฐานและโครงการอื่น ๆ

นอกจากนี้ หน่วยงานท้องถิ่นยังเร่งออกพันธบัตรเพื่อทดแทน “หนี้แฝง” ที่เคยถืออยู่ผ่านโครงการระดมเงินทุนนอกงบประมาณของรัฐบาลท้องถิ่นจีน (Local Government Financing Vehicles - LGFV) 

นอกเหนือจากการเพิ่มขึ้นของหนี้ภาครัฐแล้ว การเติบโตทางเศรษฐกิจในเชิงมูลค่าที่อ่อนแอ ยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้อัตราส่วนหนี้ต่อเศรษฐกิจของจีนปรับสูงขึ้น ตามการวิเคราะห์ของ NIFD โดยแรงกดดันด้านเงินฝืดทวีความรุนแรงขึ้น สะท้อนจากตัวเลขดัชนี GDP deflator ซึ่งเป็นตัวชี้วัดแนวโน้มราคาภายในประเทศโดยรวม ที่ติดลบอย่างต่อเนื่อง

สถานการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดภาวะที่เศรษฐกิจเติบโตช้ากว่าภาระหนี้ ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้ต่อ GDP เพิ่มสูงขึ้น แตกต่างจากภาครัฐ ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจเริ่มระมัดระวังมากขึ้นในการก่อหนี้ใหม่

ท่ามกลางราคาที่อยู่อาศัยซึ่งยังไม่เห็นสัญญาณฟื้นตัว ผู้คนจำนวนมากเลือกขายบ้านหลังที่สองและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนอื่น ๆ เพื่อนำเงินไปชำระหนี้สินเชื่อบ้านหลัก ส่งผลให้ความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมยังคงซบเซา

การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรตลอดทั้งปี รวมถึงการก่อสร้างโรงงาน มีแนวโน้มจะปรับลดลงเป็นครั้งแรกในปีนี้

ข้อมูลจากธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ระบุว่า อัตราส่วนหนี้ของจีนกำลังเข้าใกล้ระดับของญี่ปุ่นในปี 1998 ซึ่งเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นเผชิญความไม่มั่นคงทางการเงินอย่างหนัก

ในขณะนั้น ญี่ปุ่นมี GDP ต่อหัวในเชิงมูลค่าอยู่ที่เพียงกว่า 32,000 ดอลลาร์ ขณะที่จีนในปีที่แล้วมีตัวเลขอยู่ที่ราว 13,300 ดอลลาร์ ตามเกณฑ์ของธนาคารโลก จีนอยู่ในภาวะใกล้ก้าวเข้าสู่กลุ่มประเทศรายได้สูงมาหลายปีแล้ว

อย่างไรก็ตาม จำนวนเด็กเกิดใหม่ที่ลดลงและสังคมที่เข้าสู่ภาวะสูงวัย จะทำให้รัฐต้องแบกรับภาระด้านประกันสังคมมากขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายภาครัฐหลายส่วนปรับลดได้ยาก ส่งผลให้จีนมีพื้นที่ทางการคลังเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ ในการก่อหนี้เพิ่มเพื่อใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ

อ้างอิง: nikkei