MONEY AND STOCK MARKET REVIEW วันที่ 22-26 ธันวาคม 2568

MONEY AND STOCK MARKET REVIEW วันที่ 22-26 ธันวาคม 2568

เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดรอบ 4 ปี 9 เดือน ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปิดบวกเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อน

สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท

• เงินบาททำสถิติแข็งค่าสุดในรอบ 4 ปี 9 เดือน แต่ยังไม่ผ่านแนว 31.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ

เงินบาทแข็งค่าเข้าใกล้แนว 31.00 โดยแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 4 ปี 9 เดือนนับตั้งแต่มี.ค.2564 ที่ 31.02 บาทต่อดอลลาร์ฯ สอดคล้องกับราคาทองคำในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลายครั้ง ประกอบกับเงินบาทน่าจะมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากปัจจัยทางเทคนิค หลังเงินบาทแข็งค่าผ่านแนวสำคัญทางจิตวิทยาหลายแนวในระยะนี้

นอกจากนี้ สกุลเงินเอเชียส่วนใหญ่ต่างก็เคลื่อนไหวในกรอบแข็งค่า สอดคล้องกับเงินเยนที่ทยอยแข็งค่ากลับมา หลังจากที่ทางการญี่ปุ่นเตือนถึงการเข้าดูแลเพื่อสกัดการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของเงินเยน ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ยังคงถูกกดดันจากการคาดการณ์เกี่ยวกับโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในปี 2569 ซึ่งอาจจะมากกว่า 1 ครั้งที่สะท้อนผ่าน Dot Plot ล่าสุด

MONEY AND STOCK MARKET REVIEW วันที่ 22-26 ธันวาคม 2568

เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2568 กระทรวงการคลัง ธปท. และ ก.ล.ต. มีการแถลงเปิดเผยแนวทางการบริหารจัดการสถานการณ์ค่าเงินบาท โดยจะมีการกำหนดให้ผู้ให้บริการซื้อขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์นำส่งข้อมูลธุรกรรมการซื้อขายทองคำ เพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณาความเหมาะสมในการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ

ขณะที่ ธปท. ก็จะมีการพิจารณาแนวทางการกำกับปริมาณการทำธุรกรรมทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น กำหนดเพดานวงเงินการซื้อ-ขายด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี ยังต้องรอรายละเอียดของแต่ละมาตรการอีกครั้งในช่วงหลังจากนี้

นอกจากนี้ ธปท. ยังมีหนังสือเวียนลงวันที่ 26 ธ.ค. 2568 เรื่อง การซักซ้อมวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศกับลูกค้า โดยขอความร่วมมือธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 5 แห่ง ในการตรวจสอบเอกสารหลักฐานการรับซื้อหรือรับฝากเงินตราต่างประเทศที่มาจากต่างประเทศของลูกค้าที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศ (Resident)

โดยเฉพาะ 1) กรณีเงินตราต่างประเทศที่ไม่เกี่ยวกับค่าทองคำและธนบัตรเงินตราต่างประเทศที่มีจำนวนตั้งแต่ 2 แสนดอลลาร์ฯ หรือเทียบเท่า 2) กรณีเงินตราต่างประเทศที่เกี่ยวกับค่าทองคำทุกจำนวนรายธุรกรรม และ 3) กรณีธนบัตรเงินตราต่างประเทศที่มีจำนวนเงินตั้งแต่ 15,000 ดอลลาร์ฯ หรือเทียบเท่า

• ในวันศุกร์ที่ 26 ธ.ค. 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 31.05 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 31.46 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (19 ธ.ค.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 22-26 ธ.ค. 2568 นั้น นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 2,045 ล้านบาท แต่ขายสุทธิพันธบัตรไทย 2,863 ล้านบาท

• สัปดาห์ระหว่างวันที่ 29 ธ.ค. 2568 - 2 ม.ค. 2569 ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 30.90-31.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ รายงานเศรษฐกิจและการเงินเดือนพ.ย. ของไทย ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ การเคลื่อนไหวของสกุลเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก รวมถึงสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนพ.ย. ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนธ.ค. และบันทึกการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 9-10 ธ.ค. นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนธ.ค. ของจีน ญี่ปุ่น และยูโรโซนด้วยเช่นกัน

สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย

•  ดัชนีหุ้นไทยปิดบวกได้เล็กน้อย แม้จะร่วงลงแรงช่วงท้ายสัปดาห์ท่ามกลางการซื้อขายที่เบาบาง

SET Index ดีดตัวขึ้นช่วงต้นถึงกลางสัปดาห์ท่ามกลางแรงซื้อหลัก ๆ จากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ นำโดย หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีตามทิศทางการฟื้นตัวของหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก และหุ้นกลุ่มพลังงานซึ่งได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นจากประเด็นข่าวที่ว่าสหรัฐฯ สกัดกั้นและยึดเรือบรรทุกน้ำมันนอกชายฝั่งเวเนซุเอลา

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมในช่วงกลางสัปดาห์ สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นต่างประเทศ นำโดย ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีปัจจัยบวกจากตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2568 ของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์

MONEY AND STOCK MARKET REVIEW วันที่ 22-26 ธันวาคม 2568

อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงในช่วงปลายสัปดาห์ โดยเผชิญแรงกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากกังวลว่าต้นทุนการผลิตจะปรับตัวสูงขึ้นหลังราคาทองแดงพุ่งสูงขึ้น ประกอบกับไร้ปัจจัยใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นตลาด ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายค่อนข้างเบาบาง ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศหลายแห่งปิดทาการในช่วงเทศกาลคริสต์มาส

• ในวันศุกร์ที่ 26 ธ.ค. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,259.25 จุด เพิ่มขึ้น 0.56% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 24,789.73 ล้านบาท ลดลง 27.16% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 1.14% มาปิดที่ระดับ 215.27 จุด

• สัปดาห์ถัดไป (29-30 ธ.ค. 68) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,240 และ 1,230 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,275 และ 1,285 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การทำ Window Dressing ช่วงสิ้นปี สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และทิศทางเงินทุนต่างชาติ

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญช่วง 29 ธ.ค.-2 ม.ค. ได้แก่ PMI ภาคการผลิตเดือนธ.ค. ยอดขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนพ.ย. และดัชนีราคาที่อยู่อาศัยเดือนต.ค. รวมถึงข้อมูล PMI ภาคการผลิตเดือนธ.ค. ของจีน ญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษ