สกัดชิปขั้นสูงไปจีน ‘ล้มเหลว’ ? ปริศนาบริษัทสิงคโปร์จำแลง

สกัดชิปขั้นสูงไปจีน ‘ล้มเหลว’ ? ปริศนาบริษัทสิงคโปร์จำแลง

มาตรการสกัดชิป Nvidia ล้ำยุคไปจีน กำลังถูกตั้งคำถามว่า ‘ล้มเหลวหรือไม่’ เมื่อ Megaspeed บริษัทคลาวด์จากสิงคโปร์ที่อายุยังไม่ถึงสองปี กลับก้าวขึ้นเป็นผู้สั่งซื้อชิป AI มากที่สุดในอาเซียน ท่ามกลางปริศนาโครงสร้างบริษัทและตัวเลขนำเข้าผิดสังเกต ขณะที่โมเดล ‘ให้เช่าชิปแทนขาย’ ซึ่งถูกต้องตามกฎหมาย อาจกลายเป็นช่องโหว่สำคัญ

ในศึกแข่งขัน AI ระหว่าง “สหรัฐ” กับ “จีน” ที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน โลกเทคโนโลยีกำลังเผชิญคำถามสำคัญว่า การควบคุมส่งออกชิปขั้นสูงของสหรัฐยัง “คุมเกมได้จริง” หรือไม่ และคำถามนี้กำลังพุ่งเป้าไปยังบริษัทคลาวด์ AI จากสิงคโปร์ที่ชื่อว่า “Megaspeed International”

บริษัทซึ่งแทบไม่มีใครรู้จักเมื่อสามปีก่อน กลับก้าวขึ้นมาเป็น “ผู้ซื้อชิป AI ของ Nvidia ‘รายใหญ่ที่สุด’ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ในเวลาอันสั้น จุดความสงสัยให้รัฐบาลสหรัฐว่า บริษัทนี้อาจมีส่วนลักลอบนำชิป Nvidia ส่งต่อไปยัง “จีน” หรือไม่ อันอาจเป็นความเสี่ยงให้เทคโนโลยีสุดล้ำยุคหลุดรอดไปอยู่ในมือจีน

จากสปินออฟบริษัทเกมจีน สู่ ‘นีโอคลาวด์’ แห่งอาเซียน

“Megaspeed” ก่อตั้งขึ้นในปี 2023 ในช่วงเวลาที่ไม่ธรรมดา เพียงไม่กี่เดือนหลังจากรัฐบาลสหรัฐในยุคประธานาธิบดีโจ ไบเดน ออกมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ขั้นสูงไปยังจีนอย่างเข้มงวด โดยมีเป้าหมายเพื่อสกัดการพัฒนา AI เชิงทหารและเทคโนโลยีขั้นแนวหน้าของจีน

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า บริษัทรายนี้ถือกำเนิดจากการแยกตัว (Spin-off) จาก 7Road Holdings บริษัทเกมรายใหญ่จากจีน ก่อนจะมีการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นหลายครั้ง จนกลายเป็นบริษัทที่จดทะเบียนและดำเนินงานจากสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ และได้รับสถานะเป็น Nvidia Cloud Partner ในเวลาอันรวดเร็ว

โมเดลธุรกิจของ Megaspeed คือ การเป็น Neocloud หรือผู้ให้บริการเช่าพลังประมวลผล AI โดยติดตั้งชิป Nvidia จำนวนมหาศาลไว้ในดาต้าเซ็นเตอร์ในมาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย แล้วปล่อยเช่าให้ลูกค้าใช้งานผ่านระบบคลาวด์

‘เช่าชิป ไม่ขายขาด’ ช่องว่างที่ถูกต้องตามกฎหมาย

หัวใจของข้อถกเถียงทั้งหมดอยู่ที่ข้อเท็จจริงสำคัญข้อหนึ่ง กฎหมายสหรัฐ “ห้ามขาย” ชิป AI ขั้นสูงให้จีน แต่ยัง “อนุญาตให้เช่า” ชิปที่ตั้งอยู่นอกจีนได้

นี่คือช่องทางที่ทำให้บริษัทเทคโนโลยีจีน โดยเฉพาะ Alibaba Group สามารถเข้าถึงชิป Nvidia สุดล้ำสำหรับฝึกโมเดล AI ได้ โดยไม่ต้องนำฮาร์ดแวร์เข้าประเทศจีนโดยตรง ซึ่ง Nvidia เองย้ำมาโดยตลอดว่า โมเดลนี้คือส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์สหรัฐในการรักษาความเป็นผู้นำ AI โลก โดยไม่ผลักลูกค้าทั้งเอเชียไปหาเทคโนโลยีทางเลือกจากจีนหรือประเทศอื่น

ในมุมมองของ Nvidia การให้เช่าชิป AI จากดาต้าเซ็นเตอร์ในอาเซียน ไม่ใช่ “ช่องโหว่” แต่คือ “กลไกควบคุม” เพราะชิปยังอยู่ภายใต้การตรวจสอบ และไม่ถูกโอนย้ายทางกายภาพ

ตัวเลขนำเข้า ‘ผิดปกติ’ และคำถามที่ยังไร้คำตอบ

อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบข้อมูลศุลกากรโดยบลูมเบิร์ก กลับเผยให้เห็นภาพอีกด้านหนึ่ง 

ตั้งแต่ปี 2023 ถึงปลายปี 2025 Megaspeed นำเข้าอุปกรณ์ Nvidia มูลค่าอย่างน้อย 4.6 พันล้านดอลลาร์ หรือเทียบเท่าอย่างน้อย 136,000 หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสะท้อน “การขยายตัวในระดับที่ผิดสังเกต” เมื่อเทียบกับฐานะทางการเงินและขนาดการดำเนินงานของบริษัทในช่วงเริ่มต้น

ประเด็นที่ทำให้หน่วยงานสหรัฐเริ่มตั้งคำถาม คือ จำนวนชิปที่ถูกนำเข้า มีมากกว่าจำนวนที่ Nvidia ระบุว่าได้พบจากการตรวจนับภายในศูนย์ข้อมูลของ Megaspeed อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะชิปในตระกูล Blackwell รุ่นล่าสุด ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับแนวหน้า ที่สหรัฐยังไม่อนุญาตให้ส่งออกไปจีนไม่ว่ากรณีใดก็ตาม

ด้าน Nvidia ชี้แจงว่า ชิปบางส่วนยังไม่ถูกติดตั้งในดาต้าเซ็นเตอร์ และถูกเก็บไว้ในคลังสินค้า พร้อมยืนยันว่าได้ตรวจสอบแล้วว่า ไม่มีการเบี่ยงเบนชิปไปยังจีน อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดว่า ชิปในคลังมีจำนวนเท่าใด อยู่ที่ใด และจะถูกนำไปใช้งานเมื่อใด

ขณะที่ Megaspeed เองก็หลีกเลี่ยงการตอบคำถามเกี่ยวกับแผนการใช้ชิปเหล่านั้นอย่างเป็นรูปธรรม

ความคลุมเครือไม่ได้หยุดแค่ตัวเลขชิป เอกสารนำเสนอนักลงทุนของ Megaspeed ในปี 2024 ยังกล่าวถึงการก่อสร้างคลัสเตอร์คอมพิวติ้ง Nvidia ใน “พื้นที่เฉพาะ” ของประเทศที่สาม ซึ่งไม่ได้อยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ที่น่าสนใจคือ ภาพประกอบในสไลด์ดังกล่าว กลับเป็นภาพจำลองของศูนย์ข้อมูล AI ขนาดยักษ์ในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งมีรายงานว่าเป็น “หนึ่งในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ใหญ่ที่สุดของจีน” และมีบริษัทเทคโนโลยีจีนรายใหญ่หลายแห่งอยู่ในระบบนิเวศเดียวกัน

แม้จะไม่มีหลักฐานโดยตรงว่า Megaspeed มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการดังกล่าว แต่ความเชื่อมโยงด้านบุคคล เครือข่ายธุรกิจ และการใช้สื่อประชาสัมพันธ์ร่วมกัน ทำให้เจ้าหน้าที่สหรัฐตั้งคำถามว่า บริษัทนี้ “สิงคโปร์แท้” เพียงใด หรือเป็น “สิงคโปร์เทียม” กันแน่

อลิซ หวง ผู้หญิงปริศนาที่นั่งข้างเจนเซน หวง

ในคืนหนึ่งของเดือนมิถุนายน ปี 2024 เจนเซน หวง ซีอีโอของ Nvidia นั่งสังสรรค์กับลูกค้ารายใหญ่จากเอเชียหลายรายที่บาร์แห่งหนึ่งในไทเป ข้างกายเขาคือ หวง เสี่ยวเล่อ (黄小乐) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “อลิซ หวง” ผู้บริหารของ Megaspeed 

ในช่วง 8 เดือนแรก Megaspeed ระบุชื่อ “อลิซ หวง” เป็นกรรมการผู้จัดการ ก่อนที่ตำแหน่งดังกล่าวจะเปลี่ยนเป็น “เจมส์ ตัน” ซึ่งเป็นชาวสิงคโปร์ แต่ประจำอยู่ในเซี่ยงไฮ้

ไม่เป็นที่ชัดเจนว่า เจนเซน หวง และอลิซ หวง (แซ่เดียวกัน แต่ไม่ได้เป็นญาติกัน) พบกันครั้งแรกเมื่อใด คืนหนึ่งในต้นเดือนมิถุนายน 2024 หลังเที่ยงคืน อลิซ หวงกำลังพูดคุยกับกลุ่มผู้บริหารเทคโนโลยีที่บาร์ในไทเป และเสนอว่าจะลองชวนเจนเซน หวงมาร่วมวง

“พนันกันไหมว่าฉันเรียกเจนเซนมาได้” เธอกล่าว และไม่นานหลังจากนั้น เจนเซน หวง ก็ปรากฏตัวในแจ็กเก็ตหนังสีดำอันเป็นเอกลักษณ์ และดื่มวิสกี้ช็อตกับกลุ่มนั้น

ทั้งสองยังถูกถ่ายภาพร่วมกันอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม ขณะออกจากร้านอาหารในไทเป พร้อมผู้ช่วยจาก Nvidia หลังงานเลี้ยงธุรกิจกับซัพพลายเออร์ AI รายอื่น

อลิซ หวง ใช้เวลาส่วนใหญ่ในอาชีพการงานอยู่ในจีน เคยทำงานเป็นผู้สื่อข่าวโทรทัศน์จีน และเคยเป็นไพรเวตแบงก์เกอร์ ก่อนจะลาออกจาก Megaspeed ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยยังไม่ชัดเจนว่าเธอออกจากบริษัทเมื่อใด ด้วยเหตุผลใด และปัจจุบันทำอะไรอยู่

ทั้งเธอและ 7Road บริษัทจีนต้นทางที่แยกตัวออกมา มีความเชื่อมโยงใกล้ชิดกับเครือข่ายนักลงทุนมั่งคั่งและบริษัทเทคโนโลยีที่มีโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ในจีน

ก่อนเข้าร่วม Megaspeed อลิซ หวง เคยเป็นกรรมการบริหารของกองทุนในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งลงทุนใน 7Road และมีความสัมพันธ์กับบริษัทที่รัฐสนับสนุน

ยังไม่ชัดเจนว่า เงินหลายพันล้านดอลลาร์ของ Megaspeed มาจากแหล่งใด แต่ไม่กี่สัปดาห์หลังการพบปะในไทเปเมื่อปีที่แล้ว Megaspeed ก็เริ่มได้รับการส่งมอบชิปขั้นสูงของ Nvidia เป็นระลอก ๆ มูลค่าหลายล้านดอลลาร์ต่อครั้ง

ภายใน 3 เดือนถัดมา Megaspeed ซื้อชิปของ Nvidia มูลค่าราว 1,000 ล้านดอลลาร์ และในช่วง 9 เดือนต่อมา ได้เพิ่มอีกประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์ ชิปขั้นสูงส่วนใหญ่ถูกซื้อจาก Aivres ซึ่ง Aivres เป็นบริษัทย่อยในสหรัฐของ Inspur บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่จากจีนที่ถูกสหรัฐขึ้นบัญชี Entity List ในปี 2023 จากข้อกล่าวหาว่าสนับสนุนกองทัพจีน 

ต่อจากนั้น Aivres ก็จัดส่งชิป AI ไปยัง Speedmatrix ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Megaspeed ในมาเลเซีย

สกัดชิปขั้นสูงไปจีน ‘ล้มเหลว’ ? ปริศนาบริษัทสิงคโปร์จำแลง

- สาวปริศนา อลิซ หวง -

สกัดชิปขั้นสูงไปจีน ‘ล้มเหลว’ ? ปริศนาบริษัทสิงคโปร์จำแลง

- เจนเซน หวง ถ่ายภาพร่วมกับ อลิซ หวง ผู้บริหารของ Megaspeed ในงานเลี้ยงที่ไทเป เมื่อเดือน มิ.ย. ปี 2024 โดยบริษัท NetThunder เป็นผู้โพสต์ภาพนี้บน LinkedIn -

สกัดชิปขั้นสูงไปจีน ‘ล้มเหลว’ ? ปริศนาบริษัทสิงคโปร์จำแลง

- หวงกำลังเดินออกจากสถานที่แห่งหนึ่ง โดยมีบุคคลหลายคนเดินตามอยู่ด้านหลัง ภาพดังกล่าวถูกถ่ายโดย Nownews ซึ่งเป็นสื่อของไต้หวัน -

สหรัฐยอมรับ การลักลอบ ‘เกิดขึ้นจริง’

ด้าน Bureau of Industry and Security (BIS) ซึ่งรับผิดชอบการควบคุมการส่งออก ยอมรับต่อสาธารณะว่า การลักลอบชิป AI เกิดขึ้นจริงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้ Nvidia จะยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ไม่พบหลักฐานการเบี่ยงเบนเส้นทางจากลูกค้ารายใหญ่

เจ้าหน้าที่บางรายชี้ว่า แม้การนับแร็กเซิร์ฟเวอร์ในดาต้าเซ็นเตอร์จะช่วยตรวจสอบได้ระดับหนึ่ง แต่ในทางเทคนิค GPU สามารถถอดแยกเป็นชิ้นส่วนและลักลอบขนย้ายได้ โดยไม่ทิ้งร่องรอยในระยะสั้น แม้ Nvidia จะโต้แย้งว่า วิธีดังกล่าวไม่มีความคุ้มค่าทางเทคนิคและเศรษฐกิจ

แม้ Nvidia จะโต้แย้งว่า แนวคิดดังกล่าว “ไม่คุ้มค่า” ทั้งในเชิงเทคนิคและเศรษฐกิจ เนื่องจากการถอด ขนย้าย และติดตั้ง GPU ใหม่มีต้นทุนสูง เสี่ยงต่อความเสียหาย และอาจทำให้ชิปใช้งานไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ แต่ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐกลับมองว่า ความไม่คุ้มค่า ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อแรงจูงใจคือการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ถูกจำกัดอย่างเข้มงวด

เจ้าหน้าที่บางรายยังตั้งข้อสังเกตว่า ตลาดมืดของชิป AI ไม่จำเป็นต้องอาศัยการลักลอบในปริมาณมาก หากสามารถนำชิปขั้นสูงเพียง “บางส่วน” เข้าสู่ระบบนิเวศ AI ของจีนได้ ก็อาจเพียงพอสำหรับงานวิจัย การฝึกโมเดลเฉพาะทาง หรือการใช้งานเชิงทหารในระดับจำกัด ซึ่งยิ่งทำให้การตรวจจับทำได้ยากขึ้น

ในประเด็นนี้ การยอมรับของ BIS ว่า “การลักลอบเกิดขึ้นจริง” จึงไม่ใช่เพียงคำกล่าวเชิงเทคนิค แต่คือ สัญญาณเตือนเชิงนโยบายว่า กลไกควบคุมการส่งออกแบบเดิมอาจไม่เพียงพอในยุคที่ฮาร์ดแวร์ AI มีมูลค่าสูง เคลื่อนย้ายได้ และถูกแยกส่วนได้ง่ายกว่าที่กฎหมายถูกออกแบบมาให้รับมือ

คดี Megaspeed เสี่ยงสะเทือนมาถึงดาต้าเซ็นเตอร์ไทย

สิ่งที่ทำให้คดีนี้สำคัญ ไม่ใช่แค่ชะตากรรมของ Megaspeed แต่คือ “ทิศทางนโยบายเทคโนโลยีโลก”

หากสหรัฐตัดสินใจปิดช่องโหว่การเช่าชิปอย่างเข้มงวด อุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ในมาเลเซีย ไทย และอินโดนีเซีย อาจถึงคราวสะดุดครั้งใหญ่ สะเทือนไปถึงระบบนิเวศดาต้าเซ็นเตอร์ทั้งภูมิภาค

มาเลเซีย ไทย และอินโดนีเซีย ซึ่งกำลังถูกวางตำแหน่งเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐาน AI ของโลก อาจเผชิญภาวะ “ชะงักงัน” ทั้งในแง่การลงทุน การก่อสร้าง และการดึงดูดลูกค้าระดับโลก หากกฎใหม่ของสหรัฐ ทำให้การใช้ชิปขั้นสูงมีต้นทุนสูงขึ้นหรือมีความไม่แน่นอนทางกฎหมายเพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกัน Nvidia ซึ่งเป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากโมเดลเช่าชิป อาจต้องเผชิญความเสี่ยงด้านรายได้ในระดับ “หลายหมื่นล้านดอลลาร์” เพราะตลาดให้เช่าพลังประมวลผล AI นอกจีน คือหนึ่งในช่องทางสำคัญที่ทำให้ Nvidia ยังสามารถขายชิปขั้นสูงให้กับลูกค้าจีนได้ “โดยไม่ผิดกฎหมาย” หากช่องทางนี้ถูกจำกัดลง ย่อมกระทบต่อกลยุทธ์การเติบโตในเอเชียโดยตรง 

สำหรับบริษัทเทคโนโลยีจีน ผลลัพธ์อาจยิ่งเร่งแรงกดดันให้หันกลับไปพึ่งพาเทคโนโลยีในประเทศ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาชิปเอง การใช้ฮาร์ดแวร์ทางเลือก หรือการสร้างระบบ AI ที่ไม่อิงสถาปัตยกรรมของสหรัฐ ซึ่งในระยะยาวอาจสวนทางกับเป้าหมายเดิมของวอชิงตัน ที่ต้องการรักษาความได้เปรียบทางเทคโนโลยี

ในทางกลับกัน หากสหรัฐเลือกปล่อยให้ “โมเดลเช่าชิป” เดินหน้าต่อ โดยอาศัยการตรวจสอบเป็นรายกรณี ก็จะสะท้อนภาพ “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ในฐานะ “สนามกลาง” ของสงคราม AI ระหว่างสหรัฐกับจีน พื้นที่ซึ่งเทคโนโลยีอเมริกันถูกใช้งานโดยบริษัทจีน ภายใต้กฎหมายที่ถูกต้อง แต่ก็แวดล้อมด้วยข้อกังวลด้านความมั่นคงที่ยังคลุมเครือ

ผลที่ตามมาคือ เส้นแบ่งระหว่าง “การค้าถูกกฎหมาย” กับ “การใช้งานที่อาจกระทบความมั่นคงแห่งชาติ” จะยิ่งพร่าเลือน และทำให้การบังคับใช้นโยบายควบคุมเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21 ซับซ้อนกว่าที่เคยเป็นมา

ในบริบทนี้ คดี Megaspeed จึงไม่ใช่เพียงคดีสอบสวนบริษัทคลาวด์รายหนึ่ง หากแต่เป็นบททดสอบว่า มหาอำนาจโลกจะกำหนดกติกา AI อย่างไร ในยุคที่เทคโนโลยีไม่ยอมถูกกักอยู่ในพรมแดนของประเทศใดประเทศหนึ่งอีกต่อไป

อ้างอิง: bloombergreutersmegaspeed, ny