เปิด 5 เมกะเทรนด์ผู้บริโภค เข็มทิศธุรกิจปี 2026 I Creative Economy

เปิดรายงาน '5 เมกะเทรนด์ผู้บริโภค 2026' ธุรกิจจะขายได้ในยุคค่าครองชีพตึงตัว ต้องรู้เทรนด์อะไรบ้างเพื่อรับมือปีหน้านี้

ค่าครองชีพตึงตัว เทคโนโลยีเร่งความคาดหวัง และผู้บริโภคเปลี่ยนใจไว ทำให้ธุรกิจพึ่งกระแสระยะสั้นไม่ได้อีกต่อไป เมกะเทรนด์คือคลื่นระยะยาวที่เปลี่ยนวิธีคิด วิธีซื้อ และวิถีชีวิตอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ

รายงาน "The Five Consumer-Driven Megatrends Reframing the Futureของ Euromonitor International" สรุป 5 เทรนด์ ได้แก่ Convenience, Experience More, Sustainable Living, Value Propositions และ Wellness แกนร่วมของเทรนด์เหล่านี้ คือ ผู้บริโภคต้องการให้แบรนด์ลดภาระ เพิ่มความคุ้มค่า และสื่อสารอย่างโปร่งใส

1) Convenience: ความสะดวกไม่ใช่แค่เร็ว แต่คือไม่ต้องออกแรง

ความสะดวกกำลังนำไปสู่แนวคิด Convenience by Displacement เมื่อ Agentic AI และ Conversational Commerce ทำงานแทนตั้งแต่ค้นหา เปรียบเทียบ ตัดสินใจ ถึงจ่ายเงิน ยิ่งระบบทำแทนมากขึ้น ความไว้ใจยิ่งสำคัญ เพราะผู้คนต้องยอมให้แพลตฟอร์มช่วยเลือก กรณีศึกษา เช่น“Grab”เป็นตัวอย่างความสะดวกแบบรวมศูนย์ผ่านซูเปอร์แอปที่รวมอาหาร การเดินทาง การเงิน และเครื่องมือผู้ประกอบการ ครอบคลุม 8 ตลาด และเป็นอันดับ 1 การสั่งอาหารออนไลน์ในเอเชีย

อีกตัวอย่างน่าสนใจคือ“Chewy”แพลตฟอร์มค้าปลีกสัตว์เลี้ยงที่มีสินค้าและบริการราว 130,000 รายการ แต่สร้างความต่างด้วยความเห็นอกเห็นใจ เช่น ดูแลลูกค้าเมื่อสูญเสียสัตว์เลี้ยง และเปิดช่องทางปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ ตลาดเพ็ทแคร์โลกคาดโตเฉลี่ย 3.1% ต่อปี ก็ยิ่งตอกย้ำว่า “ลดภาระและลดความกังวล” กำลังกลายเป็นนิยามใหม่ของความสะดวกที่คนยอมจ่าย

2) Experience More: ประสบการณ์ต้องคุ้ม และเล่าต่อได้

ผู้บริโภคอยากได้ความสุข ความประหลาดใจ และการมีส่วนร่วม แต่ก็ระวังเงิน เพราะ 71% กังวลค่าครองชีพ ประสบการณ์ที่ดีจึงต้องจำได้ แชร์ได้ เข้าถึงง่าย และคุ้มค่า ธุรกิจจึงต้องทำประสบการณ์ที่ราคาเอื้อมถึงและขยายได้เร็ว

กรณีศึกษา เช่น“Magnum”ในแคมเปญ Nothing Cracks Like Magnum เปิดตัวที่คานส์ 2025 ใช้การฟังเสียงบนโซเชียลพบว่าเสียง “แคร็ก” เป็นตัวกระตุ้นการซื้อ แล้วแปลงเป็นประสบการณ์หลายช่องทาง สอดรับกลุ่มอายุ 15–29 ปี ที่ 40% กินขนมระหว่างดูสตรีมมิง ขณะที่“Nike Member Days”คือการเปลี่ยนกลยุทธ์จากการลดราคาไปสู่ความภักดีผ่านการมีส่วนร่วม ใช้สมาชิกเป็นประตูสู่สิทธิ์เข้าถึงสินค้ารุ่นพิเศษและกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเพิ่มอัตราซื้อ ลดการกดราคา และเก็บข้อมูลตรงสำหรับการสร้างนวัตกรรมรอบถัดไป

3) Sustainable Living: จากทางเลือกสู่มาตรฐานขั้นต่ำ

ความยั่งยืนกลายเป็น Baseline ของการตัดสินใจซื้อ 61% ของผู้บริโภคกังวลสิ่งแวดล้อม แต่เรื่องนี้มักสื่อสารยาก รายงานชี้ว่ามีเพียง 6% ของบริษัทที่สื่อสารความยั่งยืนได้ดีมาก โอกาสจึงอยู่ที่ทำให้ง่ายและพิสูจน์ได้ กรณีศึกษา เช่น“Albert Heijn”ในเนเธอร์แลนด์เปิดตัวสินค้า Blended 15 รายการ (ผสมเนื้อ/นมกับวัตถุดิบจากพืช) และตั้งราคาเท่ากับสินค้าจากสัตว์ล้วน เพื่อลดการแลกเปลี่ยนด้านราคา/รสชาติ

ส่วน“L’Oréal”ใช้เวที World Refill Day รวม 12 แบรนด์ ผลักดันให้ “รีฟิล” กลายเป็นพฤติกรรมกระแสหลัก โดย 36% ของผู้บริโภคทั่วโลกต้องการบรรจุภัณฑ์แบบเติมซ้ำ และสินค้าความงาม/ของใช้ส่วนบุคคลที่มีคำกล่าวอ้างด้านรีฟิลมีอัตราเติบโตค้าปลีกเฉลี่ย 13% ต่อปี

4) Value Propositions: ความคุ้มค่าแบบไหลลื่นและแตกย่อย

นิยามความคุ้มไม่ได้ยึดราคาเป็นศูนย์กลาง แต่รวมความน่าเชื่อถือ คุณภาพ ความสบายใจ และจริยธรรม เมกะเทรนด์นี้คาดว่าเติบโตชะลอลงเป็น 5.4% ต่อปี แต่จะลึกขึ้น ผ่าน AI ที่ทำให้ข้อเสนอแบบ Hyper-personalised เกิดได้จริง กรณีศึกษา เช่น“Danone”ปรับการขึ้นราคาทั้งกระดานไปสู่การขึ้นเฉพาะหมวดและตลาดที่มีคุณค่าสูง

5) Wellness: สุขภาพเชิงวิทยาศาสตร์และเฉพาะบุคคล

ผู้บริโภคเริ่มมองสุขภาพในกรอบ “อายุยืนอย่างมีคุณภาพ” มากขึ้น โดย 30% นิยามสุขภาพว่าเกี่ยวกับความยืนยาว และตั้งแต่ครึ่งหลังปี 2024 สินค้าเสริมอาหารที่เปิดตัวออนไลน์ทั่วโลกถึง 50% มีคำกล่าวอ้างด้าน Longevity ขณะเดียวกัน 45% ของผู้ซื้อบิวตี้ระดับลักชัวรียอมรับว่าการตัดสินใจซื้อได้รับอิทธิพลจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ นี่ทำให้ตลาด Wellness ขยับจากการสื่อสารเชิงความรู้สึก ไปสู่การแข่งขันด้วยหลักฐานและความน่าเชื่อถือ

แอป“January AI”ใช้ Generative AI ร่วมกับวิทยาศาสตร์เมตาบอลิซึมเพื่อคาดการณ์ผลของอาหารต่อระดับน้ำตาลในเลือดในแบบที่เข้าถึงง่าย ขณะที่“Timeline”บริษัทไบโอเทคจากสวิตเซอร์แลนด์ ใช้โมเลกุล Urolithin A ที่ผ่านการทดสอบทางคลินิก ต่อยอดเป็นอาหารเสริมและสกินแคร์เพื่อเสนอคุณค่าแบบตรวจสอบได้