ต่างชาติ 'ยกเลิกลงทุน' อินโดฯ-เวียดนาม ผลจากภาษีทรัมป์

ต่างชาติ 'ยกเลิกลงทุน' อินโดฯ-เวียดนาม ผลจากภาษีทรัมป์

ท่ามกลางแรงกดดันจากมาตรการภาษีทรัมป์ อุตสาหกรรมรองเท้าในอาเซียนกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญ ตั้งแต่นักลงทุนที่ถอนตัว โรงงานที่เร่งใช้ระบบอัตโนมัติ ไปจนถึงการชะลอการจ้างงาน

เว็บไซต์นิกเคอิ เอเชียรายงานว่า ผู้ผลิตรองเท้าจากต่างประเทศบางรายได้ตัดสินใจ “ยกเลิกการลงทุน” ในอินโดนีเซีย ขณะที่ผู้บริหารโรงงานรองเท้าในเวียดนามต้องรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จึงเร่งนำ “ระบบอัตโนมัติ” มาใช้ พร้อมชะลอการจ้างงานใหม่ หลังมาตรการภาษีทรัมป์เริ่มส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมหลักของภูมิภาคอาเซียน

ขณะเดียวกัน ความต้องการที่ชะลอตัวลงในสหรัฐ ยังผลักดันให้ผู้ผลิตในเอเชียต้องมองหาตลาดใหม่ แต่ผู้ซื้อชาวอเมริกันบางรายระบุว่า ภาษีใหม่จะไม่ทำให้พวกเขาละทิ้งซัพพลายเออร์เดิมในภูมิภาคนี้ สะท้อนว่า มาตรการภาษีที่ทรัมป์กล่าวว่ามีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้ผู้ผลิตย้ายฐานการผลิตกลับไปยังสหรัฐ อาจไม่ได้ผลตามที่ตั้งใจไว้

ตามข้อมูลจาก World Footwear Yearbook 2025 เวียดนาม และอินโดนีเซียเป็นผู้ส่งออกรองเท้ารายใหญ่อันดับ 2 และ 3 ของโลก รองจากจีน โดยในปี 2024 เวียดนามส่งออกรองเท้าราว 1.6 พันล้านคู่ และอินโดนีเซียราว 600 ล้านคู่ ขณะที่กัมพูชาก็ติดอยู่ใน 10 อันดับแรกเช่นกัน

หลังการเจรจายืดเยื้อ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กำหนดอัตราภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ ในอัตรา 19% สำหรับสินค้าจากอินโดนีเซีย และกัมพูชา และ 20% สำหรับสินค้าจากเวียดนาม

โยเซฟ บิลลี โดซิโวดา ผู้อำนวยการบริหารสมาคมอุตสาหกรรมรองเท้าอินโดนีเซียกล่าวว่า ความไม่แน่นอนที่เกิดจากมาตรการภาษีดังกล่าว ทำให้นักลงทุนบางรายตัดสินใจยกเลิกแผนการสร้างโรงงานในประเทศ

“แนวโน้มการลงทุนกำลังปรับตัวลดลง” เขากล่าว โดยปฏิเสธที่จะระบุชื่อบริษัท พร้อมเสริมว่า “เราหวังว่ารัฐบาลสหรัฐจะสามารถลดภาษีตอบโต้จาก 19% ลงมาอยู่ที่ 15% หรือ 10% ได้”

ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกรองเท้าของอินโดนีเซียไปยังสหรัฐอยู่ที่ 2,390 ล้านดอลลาร์ ในปี 2024 คิดเป็น 33.7% ของการส่งออกทั้งหมดของอุตสาหกรรมนี้

อย่างไรก็ตาม โดซิโวดา ระบุว่า ความต้องการรองเท้าจากอินโดนีเซียในตลาดสหรัฐ ลดลงราว 23% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2025 ซึ่งเขาเล่าว่าอาจเกิดจากกำลังซื้อของผู้บริโภคอเมริกันอ่อนแอลง อันเป็นผลมาจากการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐเป็นเวลา 43 วัน จนนำไปสู่การเลิกจ้างแรงงานในอุตสาหกรรมอย่างกว้างขวาง

เขาเสริมว่า หากอัตราภาษียังคงอยู่ในระดับ “สูงกว่า 15%” สินค้าที่ผลิตในอินโดนีเซียจะไม่สามารถแข่งขันได้อีกต่อไป เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่สูง และผลิตภาพแรงงานที่ต่ำ

“ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม จำเป็นต้องเห็นการยกเลิกกฎระเบียบภายในประเทศ เพื่อปรับปรุงหลายด้าน ทั้งผลิตภาพ สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้อต่อการลงทุน และโครงสร้างค่าแรงที่เหมาะสมกับนายจ้าง” โดซิโวดา กล่าว โดยสหภาพแรงงานในอินโดนีเซียกำลังเรียกร้องให้ปรับขึ้นค่าแรง 10% ขณะที่เวียดนามเตรียมปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำโดยรวมราว 7%

ข้อมูลสถิติแห่งชาติระบุว่า การส่งออกรองเท้าของเวียดนามไปยังสหรัฐ ลดลง 4% ในเดือนพฤศจิกายน เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า หลังจากลดลง 13% ในช่วงสามเดือนก่อนหน้านั้น บริษัทต่างๆ ตอบสนองต่อภาษีด้วยการมองหาลูกค้าใหม่ ลดต้นทุน และหันไปจำหน่ายสินค้าที่มีราคาสูงขึ้น

ผู้บริหารรายหนึ่งซึ่งดูแลแรงงานหลายหมื่นคน กล่าวว่า ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นกำลังถูกแบ่งรับภาระระหว่างผู้ซื้อ และผู้ผลิต โดยโรงงานจำนวนมากเร่งนำระบบอัตโนมัติมาใช้มากขึ้น

“สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำอยู่แล้ว” ผู้คร่ำหวอดในอุตสาหกรรมรายนี้กล่าว “ภาษีทำให้เราไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเดินหน้าให้เร็วขึ้น”

ไบรอัน ลี นักเศรษฐศาสตร์จากเมย์แบงก์ ยืนยันแนวโน้มดังกล่าว โดยกล่าวกับนิกเคอิ เอเชียว่า

“ความต้องการจากต่างประเทศที่ลดลง อาจกดดันแนวโน้มการจ้างงาน และที่เห็นชัดคือ บริษัทต่างๆ เริ่มระมัดระวังในการรับพนักงานมากขึ้น”

 

อ้างอิง: nikkei

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์