'ทองคำ' ทำนิวไฮครั้งที่ 50 ของปี เฉียด 4,500 ดอลลาร์ รับดอกเบี้ย ‘ขาลง’

ทองคำทุบสถิติโลกครั้งที่ 50 ของปี พุ่งเฉียด 4,500 ดอลลาร์ ทะยานไปแล้วกว่า 70% แกร่งสุดในรอบ 46 ปี รับอานิสงส์ดอกเบี้ย ‘ขาลง’ และสถาการณ์ภูมิรัฐศาสตร์
บลูมเบิร์กรายงานว่า “ราคาทองคำ” สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ด้วยการขยับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ เป็นครั้งที่ 50 ของปีนี้ โดยล่าสุด จ่อแตะระดับ 4,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ "โลหะเงิน" ร้อนแรงยิ่งกว่า พุ่งขึ้นถึง 140% จากต้นปี
ราคาทองคำสปอต พุ่งขึ้น 1.2% แตะระดับสูงสุดที่ 4,497.74 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนจะย่อตัวลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ประมาณ 4,484.18 ดอลลาร์ โดยในปีนี้ราคาทองคำพุ่งทะยานไปแล้วกว่า 70% ซึ่งถือเป็นการปรับตัวขึ้นรายปีที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 46 นับตั้งแต่ปี 2522
ตลาดได้รับแรงหนุนสำคัญจากมุมมองของนักลงทุนที่คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ หรือว่า “เฟด” จะยังคงเดินหน้าปรับลดดอกเบี้ยต่อไปในปีหน้า หลังจากที่ปรับลดลงมาแล้ว 3 ครั้งติดต่อกัน ซึ่งสภาวะ “ดอกเบี้ยขาลง” ซึ่งทองคำจะได้ประโยชน์โดยตรงเพราะเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีดอกเบี้ย ยิ่งดอกเบี้ยต่ำ ทองยิ่งน่าดึงดูด
นอกจากนี้ สถานะ "สินทรัพย์ปลอดภัย" ของทองคำยังโดดเด่นขึ้นท่ามกลางวิกฤตภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะกรณีที่สหรัฐดำเนินมาตรการปิดล้อมเรือบรรทุกน้ำมันของเวเนซุเอลา เพื่อเพิ่มแรงกดดันต่อรัฐบาลของประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ส่งผลให้นักลงทุนโยกย้ายเงินทุนเข้าสู่ตลาดโลหะมีค่าเพื่อป้องกันความเสี่ยง
รวมทั้ง “นโยบาย” ของโดนัลด์ ทรัมป์ จากความกังวลเรื่องการปรับโครงสร้างการค้าโลก และแรงกดดันที่มีต่อความเป็นอิสระของเฟด รวมถึงปัญหาหนี้สาธารณะที่สูงขึ้น ทำให้คนกลัวเงินเฟ้อและหันมาถือทองเพื่อป้องกันค่าเงินเสื่อม
เป้าหมาย 4,900 ดอลลาร์
สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่อย่าง “โกลด์แมน แซคส์” (Goldman Sachs) คาดการณ์ว่าทิศทางราคาทองคำจะยังคงเป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึง ปี 2569 โดยตั้งเป้าหมายราคาพื้นฐานไว้ที่ 4,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และมีโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นกว่านั้นหากสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง
นอกจากทองและเงินแล้ว โลหะมีค่าอื่นๆ เช่น แพลทินัม และแพลเลเดียม ต่างก็ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อย ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มนี้มีความน่าสนใจมากขึ้นในสายตานักลงทุนทั่วโลก
อ้างอิง Bloomberg







