ล้มสวนปาล์ม สร้างศูนย์ข้อมูล ‘มาเลย์’ มุ่งเป็นผู้นำ AI แห่งเอเชีย

ล้มสวนปาล์ม สร้างศูนย์ข้อมูล ‘มาเลย์’ มุ่งเป็นผู้นำ AI แห่งเอเชีย

จากสวนปาล์มสู่ผืนดินที่ถูกจับจองเพื่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ โลก AI กำลังเปลี่ยนกติกาจาก ‘ใครล้ำเทคฯที่สุด’ เป็น ‘ใครรองรับภาระกายภาพของโลกดิจิทัลได้มากที่สุด’ เมื่อที่ดิน พลังงาน และน้ำ กลายเป็นทรัพยากรเชิงอำนาจ ประเทศที่เคยอยู่นอกเรดาร์เทคโนโลยีอย่าง ‘มาเลเซีย’ จึงก้าวขึ้นเป็นสมรภูมิใหม่ของดาต้าเซ็นเตอร์เอเชีย โดยมี ‘ยะโฮร์’ เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่เชื่อมโลก AI เข้ากับศูนย์กลางดิจิทัลเดิมอย่างสิงคโปร์

ในโลกยุคปัญญาประดิษฐ์ “ดาต้าเซ็นเตอร์” คือหัวใจของอำนาจดิจิทัล ทุกคำตอบของ AI ทุกวิดีโอ และทุกโมเดลขนาดยักษ์ ต้องแลกมาด้วยทรัพยากรจริงอย่างที่ดิน ไฟฟ้า และน้ำ

นี่คือเหตุผลที่ประเทศซึ่งเป็นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ ไม่จำเป็นต้องเป็นประเทศที่ “ล้ำที่สุด” ทางเทคโนโลยี แต่ต้องเป็นประเทศที่ “รองรับภาระทางกายภาพ” ของโลกดิจิทัลได้จริง

ภาพนี้ทำให้สมการการแข่งขันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่โลกเคยมองหาศูนย์กลางอย่างสิงคโปร์ ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ แต่วันนี้ประเทศสุดล้ำเหล่านั้นกลับเริ่มเผชิญ “ข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง” ขณะที่ประเทศซึ่งมีทรัพยากรพื้นฐานพร้อมกว่า กำลังก้าวขึ้นมาแทนที่ และหนึ่งในนั้นคือ “มาเลเซีย” ประเทศอันทะเยอทะยานต้องการเป็นผู้นำ AI แห่งเอเชีย

จากสวนปาล์มสู่เซิร์ฟเวอร์ AI

เว็บไซต์นิกเกอิ เอเชียรายงานว่า ที่สวนปาล์มในรัฐยะโฮร์ เสียงรถแบ็กโฮและเครนก่อสร้างที่ดังไม่ขาดสายกลาง กำลังบอกเล่าเรื่องราวการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของเศรษฐกิจมาเลเซีย จากประเทศที่เคยพึ่งพาเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมดั้งเดิม สู่ “สมรภูมิใหม่” ของศูนย์ข้อมูล AI ในเอเชีย 

เพียงไม่กี่ปี ยะโฮร์ซึ่งแทบไม่มีดาต้าเซ็นเตอร์เลย กลับกลายเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีการลงทุนหนาแน่นที่สุดในภูมิภาค ด้วยกำลังการผลิตรวมทะลุ 900 เมกะวัตต์ ภายในเวลาไม่ถึง 3 ปี “เร็วกว่า” ที่สิงคโปร์ซึ่งเป็นฮับดั้งเดิม ใช้เวลาสร้างนานกว่า 10 ปี 

เอริก ยง ซึ่งแทบไม่ได้หยุดสุดสัปดาห์มานานแล้ว ในฐานะผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาธุรกิจของบริษัทวิศวกรรม CNMy ในมาเลเซีย เขาเล่าว่า แม้แต่ช่วงวันหยุดวันชาติ ก็ยังต้องรับโทรศัพท์ไม่ขาดสาย เพราะนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาสอบถามโอกาสลงทุนในรัฐยะโฮร์อย่างต่อเนื่อง

“ผมรู้สึกว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของทศวรรษที่สดใสของยะโฮร์ และของมาเลเซียโดยรวม ในอดีตเราเคยพึ่งพาภาคเกษตรกรรมอย่างมาก แต่ตอนนี้เราได้ก้าวขึ้นรถไฟความเร็วสูงสู่ความสำเร็จแล้ว” ยงกล่าวกับนิกเกอิ เอเชีย ขณะยืนอยู่หน้ากลุ่มไซต์ก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์หลายแห่งในรัฐยะโฮร์ ทางตอนใต้ของมาเลเซีย

“ไม่ว่าคุณจะมองไปทางไหน พื้นที่ตรงนั้นล้วนถูกจองไว้หมดแล้ว และจะถูกพัฒนาเป็นดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่” ยงกล่าว พร้อมชี้ไปยังผืนป่าปาล์มน้ำมันอันกว้างใหญ่ที่ล้อมรอบพื้นที่ดังกล่าว “เมื่อห้าปีก่อน ยะโฮร์ยังไม่มีดาต้าเซ็นเตอร์เลย แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง”

ทำไมถึงเลือก ‘ยะโฮร์’  

คำตอบไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “ภูมิศาสตร์ ต้นทุน และการเมืองโลก”

ยะโฮร์อยู่ห่างจากใจกลางสิงคโปร์ “เพียง 40 นาที” ขณะที่สิงคโปร์เองเผชิญข้อจำกัดรุนแรงทั้งด้านที่ดินและพลังงาน การขยายตัวของดาต้าเซ็นเตอร์จึง “ล้นทะลัก” ข้ามพรมแดนเข้ามาในมาเลเซีย ซึ่งมีที่ดินกว้าง ค่าไฟถูกกว่า และกฎระเบียบยืดหยุ่นกว่า 

สิ่งสำคัญ คือ ยะโฮร์ยังสามารถเชื่อมต่อกลับไปยังสิงคโปร์ได้โดยตรงทั้งทางกายภาพและโครงข่ายดิจิทัล ดาต้าเซ็นเตอร์จำนวนมากจึงเลือกตั้งอยู่ฝั่งมาเลเซีย แต่ใช้สิงคโปร์เป็นจุดศูนย์กลางการบริหารและเชื่อมต่อระดับโลก

ในเวลาเดียวกัน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะการแยกซัพพลายเชนออกจากจีน และความต้องการประมวลผล AI ที่พุ่งขึ้นหลังปี 2022 ได้เร่งให้บริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ตั้งแต่ Microsoft, Oracle, Google ไปจนถึง ByteDance และ Tencent ต้องเร่งหาฐานใหม่ที่สามารถขยายกำลังการประมวลผลได้ทันที ไม่ติดข้อจำกัดด้านพื้นที่และพลังงาน

ผลจากกระแสนี้ ทำให้เงินลงทุนหลั่งไหลเข้าสู่ “มาเลเซีย อินเดีย อินโดนีเซีย และไทย” จากบริษัทหลากหลายประเภท ตั้งแต่ผู้ให้บริการคลาวด์ ผู้พัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ ไปจนถึงแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และ “ยะโฮร์” ซึ่งอยู่ใกล้กับสิงคโปร์ เป็นหนึ่งในผู้รับอานิสงส์นี้

ล้มสวนปาล์ม สร้างศูนย์ข้อมูล ‘มาเลย์’ มุ่งเป็นผู้นำ AI แห่งเอเชีย - กราฟิก: ณัชชา พ่วงพี -

สร้างวงจรหนุนต่อเนื่องทางศก.

ผู้เชี่ยวชาญหลายรายมองว่า ดาต้าเซ็นเตอร์ไม่ใช่แค่สิ่งปลูกสร้าง แต่เป็นตัวจุดชนวน “เอฟเฟกต์ลูกโซ่” เพราะเมื่อประเทศใดเริ่มเป็นฮับ งานวางโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆก็จะตามมา ทั้งไฟเบอร์ใต้น้ำ โครงข่ายโทรคมนาคม และอุตสาหกรรมสนับสนุน 

นี่คือโมเดลเดียวกับที่ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของเอเชียในอดีต และมาเลเซียหวังจะเดินตามรอยนั้น โดยมีโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษยะโฮร์–สิงคโปร์ (Johor-Singapore Special Economic Zone) เป็นกลไกเสริมความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและการลงทุนระหว่างยะโฮร์กับสิงคโปร์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ผ่านมาตรการจูงใจต่าง ๆ ตั้งแต่การผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่รวดเร็วขึ้น ไปจนถึงการลดขั้นตอนด้านศุลกากร

เจเบซ แทน หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Structure Research ระบุว่า การเป็นเจ้าภาพดาต้าเซ็นเตอร์ ให้ประโยชน์ทั้งทางเศรษฐกิจและเชิงยุทธศาสตร์ แม้จะไม่ได้ดึงดูดบุคลากรจำนวนมาก หรือสร้างงานถาวรในปริมาณสูงโดยตรงก็ตาม

“เมื่อประเทศของคุณเริ่มมีโมเมนตัมในฐานะศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์ หรือเสมือน ‘รางรถไฟของ AI’ นี่จะเริ่มสร้างแรงขับเคลื่อนของตัวเอง เกิดเป็น ‘วงจรหนุนต่อเนื่อง’ ที่ทำให้เห็นการพัฒนาเพิ่มขึ้นในประเทศ” แทนกล่าว “สิ่งนี้จะสร้างแรงดึงดูดให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานด้านการเชื่อมต่อให้หลั่งไหลเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นสายเคเบิลใต้น้ำหรือระบบโครงข่ายต่าง ๆ นี่คือเส้นทางเดียวกับที่สิงคโปร์ก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางเชิงยุทธศาสตร์ในวันนี้”

นี่คือเหตุผลที่หลายประเทศยอมลงทุนล่วงหน้า แม้ผลตอบแทนระยะสั้นยังไม่ชัด เพราะดาต้าเซ็นเตอร์ คือ “รากฐาน” ของเศรษฐกิจดิจิทัลในระยะยาว 

ล้มสวนปาล์ม สร้างศูนย์ข้อมูล ‘มาเลย์’ มุ่งเป็นผู้นำ AI แห่งเอเชีย

- กราฟิก: ณัชชา พ่วงพี -

จากค่าเฉลี่ยสู่ค่าจ้างพรีเมียม

ธนาคารกลางมาเลเซียระบุว่า กระแสการขยายตัวของดาต้าเซ็นเตอร์ในมาเลเซีย ไม่เพียงเปลี่ยนทิศทางของเงินลงทุนเท่านั้น แต่ยังสร้าง “งานที่มีค่าตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ” อย่างมีนัยสำคัญ โดยการบริหารและดูแลศูนย์ข้อมูล จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและโทรคมนาคม ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญด้านเครือข่าย สถาปนิกระบบคลาวด์ และนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล ซึ่งล้วนมีระดับค่าจ้างที่สูงกว่าแรงงานทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด

ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้น มักมีรายได้อยู่ที่ราว 3,000–7,000 ริงกิต (ราว 23,000-54,000 บาท) ต่อเดือน เมื่อเทียบกับค่ามัธยฐานของรายได้ทั้งประเทศซึ่งอยู่ที่ประมาณ 2,793 ริงกิต (ราว 21,000 บาท) 

ขณะที่ตำแหน่งที่ต้องอาศัยประสบการณ์สูง สามารถมีรายได้ตั้งแต่ 10,000 ไปจนถึง 30,000 ริงกิต (ราว 76,000-230,000 บาท) ต่อเดือน ตามการประเมินของธนาคารกลาง

เบื้องหลังความร้อนแรง ต้องแลกกับภาระทรัพยากร

อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังความร้อนแรงของการลงทุน ความท้าทายของดาต้าเซ็นเตอร์บูม ก็เริ่มปรากฏชัดขึ้นเรื่อย ๆ

แม้ดาต้าเซ็นเตอร์จะสร้างงานจริง โดยเฉพาะงานฝีมือขั้นสูง แต่ “จำนวนตำแหน่งงาน” กลับไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับเม็ดเงินลงทุนมหาศาล เนื่องจากศูนย์ข้อมูลยุคใหม่พึ่งพาระบบอัตโนมัติสูง และต้องการ “แรงงานเฉพาะทาง” เพียงบางส่วน 

ขณะเดียวกัน ดาต้าเซ็นเตอร์จำนวนมากยังตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลชุมชน เพื่อลดต้นทุนที่ดินและหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านผังเมือง ทำให้ผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อชุมชนโดยรอบมีขอบเขตจำกัด

ที่สำคัญกว่านั้นคือ “ภาระด้านทรัพยากร” ของดาต้าเซ็นเตอร์ เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้ไฟฟ้าและน้ำในปริมาณสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในยุค AI ที่ต้องรองรับเซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูงและระบบระบายความร้อนที่ซับซ้อน สิ่งนี้เริ่มกลายเป็นข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของรัฐยะโฮร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ล่าสุด คณะกรรมการพิจารณาการลงทุนภายใต้รัฐบาลรัฐยะโฮร์ได้ส่งสัญญาณชัดเจน ด้วยการปฏิเสธคำขอจัดตั้งดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ หากโครงการนั้นต้องใช้ระบบหล่อเย็นด้วยของเหลว เนื่องจากความกังวลด้านปริมาณน้ำที่มีอยู่ นี่สะท้อนว่า แม้รัฐจะเปิดรับการลงทุน แต่ก็เริ่มต้อง “เลือก” โครงการมากขึ้น เพื่อไม่ให้การเติบโตของดาต้าเซ็นเตอร์กระทบเสถียรภาพด้านทรัพยากรในระยะยาว

นอกจากปัจจัยภายใน อีกตัวแปรสำคัญที่กำหนดอนาคตของการบูมครั้งนี้คือ “การเข้าถึงชิป AI” การแข่งขันสร้างดาต้าเซ็นเตอร์อาจกลายเป็นเกมที่ไร้ความหมาย หากไม่สามารถนำเข้าชิปประมวลผลขั้นสูง โดยเฉพาะจาก Nvidia ซึ่งเป็นหัวใจของระบบ AI ระดับโลก แต่ชิปเหล่านี้กลับอยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐ

มาเลเซียพยายามวางตัวเป็นกลางระหว่างสหรัฐและจีน เพื่อรักษาความน่าสนใจในฐานะจุดหมายการลงทุนของทั้งสองฝั่ง ทว่าความเป็นกลางดังกล่าวก็มาพร้อมแรงกดดันทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น รัฐบาลจึงต้องออกมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ของสหรัฐ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกมองว่าเป็น “ช่องโหว่” ของมาตรการควบคุมเทคโนโลยีขั้นสูง

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า ดาต้าเซ็นเตอร์บูมของมาเลเซีย ไม่ใช่เส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ หากแต่เป็นการเดินบนเส้นบาง ๆ ระหว่างการดึงดูดเงินลงทุนระดับโลก กับการแบกรับภาระด้านทรัพยากรและแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์

คำถามสำคัญจึงไม่ใช่เพียงว่า มาเลเซียจะสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ได้มากเพียงใด แต่คือการบริหารการเติบโตนี้อย่างไรไม่ให้กลายเป็นภาระในระยะยาว และสามารถเปลี่ยนกระแสการลงทุนในวันนี้ ให้กลายเป็น “ความได้เปรียบเชิงโครงสร้าง” ในวันข้างหน้าได้จริงหรือไม่

อ้างอิง: nikkeiforbes