ยุโรปต่อลมหายใจ ‘รถสันดาป’ เปิดทาง 'อีวีจีน' ผงาดครองโลก

ยักษ์ใหญ่ยานยนต์ฝั่งตะวันตก ทั้งในสหรัฐ และยุโรป เริ่มส่งสัญญาณ “ถอยหลัง” จากกลยุทธ์รถอีวี จุดเปลี่ยนสำคัญที่เปิดโอกาสให้อีวีจีนเข้ามายึดครองความเป็นผู้นำตลาดโลก
หลังจากที่คณะกรรมาธิการยุโรป ได้ทำการตัดสินใจครั้งสำคัญที่อาจเปลี่ยนแปลงอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ด้วยการยกเลิกข้อห้ามการผลิต และขายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2578
ก่อนหน้านี้ ยุโรปตั้งเป้าว่าปี 2578 รถใหม่ต้องปล่อยมลพิษเป็น 0 หรือต้องเป็นรถไฟฟ้าเท่านั้น ข้อเสนอใหม่จะยอมให้ขาย รถไฮบริด (Hybrid) และ รถปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ต่อไปได้ และปรับเป้าหมายการลดมลพิษจากท่อไอเสียเหลือ 90% ภายในกลางทศวรรษหน้า แทนที่ของเดิมที่ต้องลด 100%
อย่างไรก็ตาม การผ่อนปรนนี้มีข้อแลกเปลี่ยน โดยผู้ผลิตรถยนต์ที่ยังขายรถเครื่องยนต์สันดาป ต้องชดเชยด้วยการใช้เชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำ เชื้อเพลิงหมุนเวียน หรือใช้ “เหล็กกล้าสีเขียว” (Green Steel) ที่ผลิตในท้องถิ่นเป็นส่วนประกอบรถยนต์แทน
ข้อเสนอนี้ คาดว่า จะได้รับการรับรองจากคณะกรรมาธิการยุโรปในสัปดาห์นี้ จากนั้นจะต้องผ่านการอภิปราย และเจรจา 3 ฝ่ายโดยรัฐสภา, สภา และคณะกรรมาธิการ เพื่อหาข้อสรุปสุดท้ายในขั้นตอนต่อไป
การตัดสินใจเหล่านี้สะท้อนถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรมรถยนต์ตะวันตกในการแข่งขันด้านยานยนต์ไฟฟ้า และเกิดขึ้นเพียงวันเดียวหลังจากที่บริษัท “ฟอร์ด มอเตอร์” (Ford Motor) ยักษ์ใหญ่รถยนต์อเมริกัน ประกาศบันทึกค่าใช้จ่ายสูงถึง 19.5 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากการถอยห่างจากกลยุทธ์รถยนต์ไฟฟ้าของบริษัท
"ฟอร์ด" ประกาศยกเลิกแผนผลิตรถกระบะไฟฟ้า F-Series และเลือกเปลี่ยนกลับไปผลิตรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิง และรถยนต์ไฮบริดแทน ปัญหาสำคัญประการหนึ่ง คือ ความสามารถใช้งานจริง เช่น รถกระบะไฟฟ้า F-150 ที่มีระยะทางการวิ่งเพียง 240 ไมล์ ทำให้ไม่สามารถบรรทุกของหนักได้ไกลเท่ากับรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน
นอกจากนี้ ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของยุโรปอย่าง โฟล์คสวาเกน (Volkswagen), บีเอ็มดับเบิลยู (BMW), เมอร์เซเดส-เบนซ์ (Mercedes-Benz) และ สเตลแลนทิส (Stellantis) ต่างกำลังเผชิญภาวะยอดขายรถไฟฟ้าชะลอตัว และต้นทุนการเปลี่ยนผ่านที่สูงลิ่ว เสี่ยงต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และการจ้างงาน
โฟล์คสวาเกน ยักษ์ใหญ่รถยนต์เยอรมนี เผยว่า จะยุติการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแฮทช์แบ็ก ID.3 ในเดือนนี้ที่เมืองเดรสเดน ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 88 ปีที่ผู้ผลิตรายนี้จะปิดโรงงานประกอบรถยนต์ในเยอรมนี
แดเนียล คอลลาร์ หัวหน้าฝ่ายยานยนต์และการคมนาคมขนส่งของบริษัทที่ปรึกษาอินทราลิงก์ กรุ๊ป กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ตอนนี้เริ่มรู้สึกแล้วว่าสหรัฐ หรือสหภาพยุโรปไม่สามารถตามให้ทันได้”
‘จีน’ กำลังครองเกม
ขณะที่ตะวันตกกำลังถอยร่น ผู้ผลิตรถยนต์จีน กลับกำลังเดินหน้าอย่างแข็งขัน บริษัทอย่างบีวายดี (BYD)และเสียวหมี่ (Xiaomi) กำลังพัฒนาเทคโนโลยีภายในห้องโดยสาร ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง และระบบชาร์จเร็วพิเศษอย่างรวดเร็ว เพื่อทลายข้อจำกัดเดิมของ EV สิ่งเหล่านี้ มาจากการลงทุนอย่างต่อเนื่องช่วงทศวรรษที่ผ่านมาทำให้จีนกลายเป็นผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้าของโลก
ทว่า “จุดแข็ง” สำคัญของผู้ผลิตจีน คือ เรื่องราคา BYD เปิดตัว Dolphin Surf ในยุโรปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นรถแฮทช์แบ็กไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ที่มีราคาต่ำกว่า 23,000 ยูโร หรือประมาณ 850,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่แข่งขันได้สูงเมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าจากผู้ผลิตในยุโรป
เยล จาง กรรมการผู้จัดการของบริษัทที่ปรึกษา Automotive Foresight ระบุว่า แม้จะมีมาตรการภาษีจากยุโรป ผู้ผลิตรถยนต์จีน “ก็ยังมีข้อได้เปรียบมากพอที่จะแข่งขันได้”
จาง วิเคราะห์ว่า การที่คณะกรรมาธิการยุโรปถอยจากการห้ามปล่อยมลพิษจากท่อไอเสียภายในปี 2035 แสดงให้เห็นถึงการขาดเจตจำนงที่จะทำในสิ่งที่ “ถูกต้องแต่ยาก” แม้จะดูเหมือนเป็นการเคลื่อนไหวในเชิงบวกสำหรับผู้ผลิตในยุโรปในระยะสั้น แต่ในระยะยาว “จะนำไปสู่ความเกียจคร้าน และความประมาทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
คอลลาร์ เสริมว่า ผู้ผลิตรถยนต์ดั้งเดิมจำเป็นต้องหาวิธีการใหม่ เช่น การใช้ประโยชน์จากความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์สันดาปภายในผ่านรถยนต์ไฮบริดแบบเสียบปลั๊ก หรือรถยนต์ไฟฟ้าที่มีระยะทางการวิ่งไกลขึ้น เพื่อต่อสู้กับการแข่งขันจากผู้ผลิตจีนที่ล้ำหน้าไปไกลมากในเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ล้วนๆ
แน่นอนว่า ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีนกำลังเผชิญความท้าทายของตนเอง เช่น ความต้องการในประเทศที่ลดลง การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น และการตรวจสอบด้านกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น ยอดขายรวมของ BYD ลดลงติดต่อกัน 3 เดือนแล้ว และบริษัทยังคงผลิตรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ที่มีเครื่องยนต์เบนซินหนึ่งคันต่อรถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่เพียงอย่างเดียวหนึ่งคัน
นอกจากนี้ ทางการจีนยังควบคุมการลดราคาที่ไม่สมเหตุสมผล และขอให้ผู้ผลิตรถยนต์จ่ายเงินให้ซัพพลายเออร์เร็วขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อยอดขาย และกระแสเงินสด
ผู้นำตลาดโลกที่กำลังเปลี่ยนมือ
แม้สถานการณ์จะดูไม่สดใส แต่บลูมเบิร์ก นิว เอนเนอร์จี ไฟแนนซ์ หน่วยงานวิจัยด้านพลังงานสะอาดของบลูมเบิร์ก
ยังคงคาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 16% ในปี 2569 เป็น 25.4 ล้านคัน คำถามสำคัญคือ ใครจะเป็นผู้ได้ประโยชน์จากการเติบโตนี้
"ยุโรป" เป็นตลาดสำคัญสำหรับแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าของจีน ที่กำลังมองหาการเติบโตและอัตรากำไรที่สูงขึ้น เพื่อชดเชยภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และสงครามราคาที่ยืดเยื้อในจีน แม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนจะถูกกีดกันไม่ให้เข้าสู่ตลาดสหรัฐด้วยภาษีลงโทษ แต่ก็กำลังค่อยๆ รุกคืบในตลาดต่างๆ ตั้งแต่ทวีปอเมริกาใต้ ตะวันออกกลาง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การที่สหรัฐ และยุโรปเลือกที่จะถอยร่นจากการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมยานยนต์โลก ขณะที่ผู้ผลิตตะวันตกกำลังถอยกลับมาพึ่งพาเครื่องยนต์สันดาป และเทคโนโลยีไฮบริด ผู้ผลิตจีนกำลังเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าอย่างไม่หยุดยั้ง
ดังนั้นการขาดแคลนรถยนต์รุ่นที่แข่งขันได้จากผู้ผลิตในยุโรป และสหรัฐ อาจทำให้ตลาดทั่วโลกตกเป็นของจีนในที่สุด และเมื่อถึงเวลานั้น การจะกลับมาแข่งขันอีกครั้งอาจสายเกินไปสำหรับผู้ผลิตตะวันตกที่เลือกเส้นทางที่ “ง่ายกว่า” แต่อาจไม่ใช่ “ถูกต้อง” ในวันนี้
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







