คะแนนนิยม ‘ทรัมป์’ ดิ่ง ‘ใกล้จุดต่ำสุด’ ของวาระ

คะแนนนิยม ‘ทรัมป์’ ทรุดใกล้ ‘จุดต่ำสุด’ ของวาระ ผลสำรวจ Reuters/Ipsos ชี้แรงหนุนจากฐานรีพับลิกันเริ่มสั่นคลอน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและค่าครองชีพ ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ยังสูงและผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้า
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ผลสำรวจใหม่ของ Reuters/Ipsos ระบุว่า คะแนนนิยมในการทำหน้าที่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปรับตัวลดลงในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จนเกือบ “แตะระดับต่ำสุด” ของวาระปัจจุบัน หลังจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งในพรรครีพับลิกันเริ่มไม่พอใจกับการบริหารด้านเศรษฐกิจของเขา
ผลสำรวจดังกล่าว ซึ่งจัดทำเป็นเวลา 3 วันและสิ้นสุดลงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พบว่า ชาวอเมริกัน 39% เห็นด้วยกับผลงานการทำงานของทรัมป์ ลดลงจาก 41% ในช่วงต้นเดือนธันวาคม และอยู่ห่างเพียง 1 จุดจากระดับ 38% ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็น “คะแนนนิยมต่ำสุด” ของเขาในปีนี้
สำหรับทรัมป์ กลับมามีอำนาจอีกครั้งในเดือนมกราคมด้วยคะแนนนิยม 47% แต่หลังจากนั้นความนิยมของเขาก็เริ่มอ่อนตัวลง โดยเฉพาะในประเด็นการบริหารจัดการเศรษฐกิจ
แม้การปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐเมื่อไม่นานมานี้ จะทำให้การเก็บข้อมูลเศรษฐกิจหยุดชะงักลง แต่บรรดานักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากมองว่า นายจ้างเริ่มชะลอการจ้างงาน เนื่องจากสิ่งที่บางฝ่ายเรียกว่าเป็น “แรงกระแทก” จากมาตรการภาษีนำเข้าของทรัมป์
ทั้งนี้ มีชาวอเมริกันเพียง 33% เท่านั้นที่ระบุว่า เห็นด้วยกับการจัดการเศรษฐกิจของทรัมป์ ซึ่งถือเป็น “คะแนนต่ำสุด” ของเขาในประเด็นนี้ในปีนี้
แม้ชาวรีพับลิกันยังคงให้การสนับสนุนประธานาธิบดีอย่างแข็งแกร่ง โดย 85% เห็นด้วยกับผลงานโดยรวมของเขา ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงต้นเดือนนี้ แต่สัดส่วนของผู้สนับสนุนในพรรคเดียวกันที่มองว่าทรัมป์บริหารเศรษฐกิจได้ดี กลับลดลง
ผลสำรวจล่าสุดพบว่า คะแนนด้านเศรษฐกิจในกลุ่มรีพับลิกัน ลดลงเหลือ 72% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดของปีนี้ และลดลงจาก 78% ในช่วงต้นเดือน
เมื่อปีที่แล้ว โดนัลด์ ทรัมป์ที่ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี ให้คำมั่นว่าจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งเผชิญภาวะเงินเฟ้อสูงในสมัยรัฐบาลเดโมแครตของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน
อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องภายใต้การบริหารของทรัมป์ โดยทรงตัวใกล้ระดับ 3% และสูงกว่าเป้าหมาย 2% ที่ผู้กำหนดนโยบายมองว่าเหมาะสมต่อเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน คะแนนนิยมของทรัมป์ในประเด็นค่าครองชีพอยู่ที่ 27% ลดลงจาก 31% ในช่วงต้นเดือน
สำหรับผลสำรวจดังกล่าว ดำเนินการผ่านระบบออนไลน์ โดยรวบรวมความคิดเห็นจากผู้ตอบแบบสอบถาม 1,016 คนทั่วประเทศ และมีค่าความคลาดเคลื่อน อยู่ที่ 3 จุดเปอร์เซ็นต์
อ้างอิง: reuters







