สี จิ้นผิง เผชิญเสียงเรียกร้องให้หยวนแข็งค่า แก้ปัญหาเศรษฐกิจ

สี จิ้นผิง เผชิญเสียงเรียกร้องให้หยวนแข็งค่าขึ้น คนวงในจีนชี้ค่าเงินหยวนที่อ่อนเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของประเทศ บั่นทอนอำนาจซื้อผู้บริโภค ต้นเหตุขัดแย้งการค้า
บลูมเบิร์ก รายงานว่าในแวดวงที่มีการเชื่อมโยงกันอย่างดีในประเทศจีน ขณะนี้มีคนแสดงความเห็นมากขึ้นว่าการที่หยวนยังคงอ่อนค่าต่อเนื่องกลายเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ การอภิปรายเรื่องค่าเงินในที่สาธารณะไม่ค่อยเกิดขึ้นในจีนเพราะเป็นเรื่องอ่อนไหวทางการเมือง
ทั้งนี้ มีนักเศรษฐศาสตร์จีน และอดีตเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่กำลังแสดงความเห็นว่าจีนควรทำให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้น หากต้องการปรับสมดุลเศรษฐกิจจากที่พึ่งพาการส่งออกมากเกินไป พร้อมทั้งกระตุ้นอุปสงค์ภายใน และลดความขัดแย้งทางการค้า
การอภิปรายถึงเรื่องละเอียดอ่อน เช่น การบริหารจัดการค่าเงินถือเป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญในรัฐบาลของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่ปกติการตัดสินใจนโยบายจะค่อนข้างปิดบัง การเรียกร้องเหล่านี้จึงสร้างกระแสคาดการณ์ว่าผู้กำหนดนโยบายอาจเปิดทางให้หยวนแข็งค่าขึ้นอย่างมาก โดยที่กลุ่มการเงิน Goldman Sachs Group Inc ประเมินว่าค่าเงินหยวนต่ำกว่าปัจจัยเศรษฐกิจพื้นฐานถึง 25%
แม้ว่าหลายฝ่ายจะยังไม่คาดหวังว่าค่าจะปรับขึ้นมากนัก แบรด เซตเซอร์ นักวิจัยอาวุโสแห่งสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Council on Foreign Relations) และอดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังสหรัฐให้ความเห็นว่า “การที่มีการถกเถียงภายในเกี่ยวกับต้นทุน และประโยชน์ของการใช้นโยบายหยวนอ่อนนับว่ามีนัยสำคัญ หยวนที่อ่อนค่ามีต้นทุนจริงต่อผู้บริโภคชาวจีน และเศรษฐกิจโดยรวม”
ในช่วงสามปีถึงปี 2024 หยวนอ่อนค่าลงถึง 13% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ จากผลกระทบของปัญหาอสังหาริมทรัพย์ระยะยาวและการแข่งขันกับสหรัฐที่เพิ่มขึ้น ซึ่งกดดันเศรษฐกิจ และทำให้เงินทุนต่างชาติไหลออก แม้ว่าปีนี้หยวนจะขยับขึ้นได้เกือบ 4% แต่ก็ยังถือว่าอ่อนเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่น เช่น อ่อนกว่ายูโรถึง 9%
เมื่อเร็วๆ นี้ ธนาคารกลางจีนถูกมองว่าพยายามจำกัดการแข็งค่าของหยวน โดยอนุญาตให้หยวนซื้อขายได้ไม่เกิน 2% จากอัตรากลางที่เป็นอัตราการอ้างอิงรายวัน ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา ธนาคารกลางมักกำหนดอัตราอ้างอิงต่ำกว่าที่คาดไว้ ขณะที่ธนาคารรัฐก็เข้าไปซื้อดอลลาร์ ตามข้อมูลจากผู้ค้าในตลาด
ผู้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจของจีนเพิ่งย้ำว่าจะรักษาเสถียรภาพของหยวนไว้ในระดับสมดุลที่เหมาะสม โดยธนาคารกลางจีนยังไม่ได้ตอบกลับคำถามจากบลูมเบิร์ก เกี่ยวกับเรื่องนี้
เงินหยวนอ่อนค่าลงในขณะที่การส่งออกพุ่งขึ้นในปีนี้ ได้ช่วยพยุงเศรษฐกิจที่ถูกกดดันด้วยการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ซบเซาและสงครามราคาสินค้าที่รุนแรง ก่อให้เกิดแรงกดดันด้านเงินฝืดอย่างชัดเจน โดยจีนมีดุลการค้าเกินดุลสินค้าถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ใน 11 เดือนแรกของปี
การแข็งค่าของหยวนถูกมองว่าเป็นหนึ่งในทางออกในการแก้ปัญหาความไม่สมดุลนี้ ซึ่งกำลังกลายเป็นความกังวลในระดับนานาชาติ เมื่อไม่นานมานี้ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ระบุว่าดุลการค้าส่วนเกินของจีน “ไม่ยั่งยืน” ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ก็ชี้ว่าการอ่อนค่าของหยวนเป็นตัวกระตุ้นความไม่สมดุลทางการค้า และเม็กซิโกอนุมัติการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน
อัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริงของจีน ซึ่งปรับตามระดับราคา ใกล้ระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2011 ตามข้อมูลจากธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ ( Bank for International Settlements)
- ข้อถกเถียงค่าเงินหยวนควรแข็งค่าระดับไหน
หลิว ซื่อจิน อดีตคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางจีนกล่าว ในงานที่ปักกิ่งเดือนนี้ว่า “ยุทธศาสตร์การค้าระหว่างประเทศของจีนจำเป็นต้องปรับครั้งใหญ่ใน 5 ปีข้างหน้า และควรสร้างสมดุลระหว่างการนำเข้าและส่งออก”
หลิว ยังกล่าวว่า “การแข็งค่าของหยวนอย่างสมเหตุสมผลจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อในต่างประเทศ กระตุ้นการบริโภค และส่งเสริมให้หยวนเป็นที่ยอมรับในระดับโลกมากขึ้น”
เซิง ซงเฉิง อดีตผู้อำนวยการฝ่ายสถิติ และวิเคราะห์ของธนาคารกลางจีนเมื่อเดือนที่แล้วกล่าวถึงความแตกต่างของมูลค่าหยวนตามหลักอำนาจซื้อ โดยหยวนล่าสุดซื้อขายที่ 7.05 ต่อดอลลาร์ “ถ้ามองจากอำนาจซื้อ อัตราแลกเปลี่ยนน่าจะไม่ใช่ 1 ต่อ 7 อาจอยู่ที่ 1 ต่อ 5 หรือ 1 ต่อ 4 ด้วยซ้ำ นั่นหมายถึงหยวนยังถูกตีมูลค่าต่ำเกินไป และมีช่องให้แข็งค่าขึ้นอีกมาก”
อย่างไรก็ตาม ขนาดของการปรับขึ้นหยวนยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
เหวยเจี้ยน ซาน ประธานบริหารของบริษัท PAG เขียนลงใน Financial Times เมื่อ 28 พฤศจิกายน ว่า หากหยวนแข็งค่าขึ้น 50% ใน 5 ปี จะช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่การพัฒนาอย่างมีคุณภาพ และจูงใจการลงทุนจากต่างชาติ
จาง จุน คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ฟู่ตัน เสนอว่าการอนุญาตให้หยวนแข็งค่าขึ้น 10-30% ในระยะกลางถึงยาวเป็นหนึ่งในทางเลือกที่จะช่วยลดดุลการค้าเกินดุล และเพิ่มคุณค่าของอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การค้าสินค้าของจีน เช่น ภาคบริการ โดยกล่าวไว้ในงานที่เซี่ยงไฮ้วันที่ 23 พฤศจิกายน 2568
ด้าน จาง หมิง รองผู้อำนวยการสถาบันการเงิน และธนาคารแห่งสถาบันวิทยาศาสตร์สังคมจีน เรียกร้องให้ปรับขึ้นอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริง 4% เพื่อช่วยจีนหลีกเลี่ยงกับดักรายได้ปานกลางที่ประเทศกำลังพัฒนาเผชิญ ตามบันทึกวันที่ 7 ธันวาคม 2568
อย่างไรก็ตาม บางฝ่ายมองว่าการแข็งค่าของหยวนเป็นเครื่องมือทางการเมืองมากกว่าทางแก้ปัญหาดุลการค้าเกินดุล โดยเห็นว่าปัญหาหลักเกิดจากราคาสินค้าในประเทศที่ลดลง ทำให้บริษัทจีนสามารถตั้งราคาต่ำกว่าคู่แข่งต่างประเทศได้มาก
ภาวะเงินฝืดในโรงงานของจีนดำเนินไปต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 38 ในเดือนพฤศจิกายน จากปัญหาอุปทานส่วนเกิน และการบริโภคที่ยังอ่อนแอ ยอดค้าปลีกโตเพียง 1.3% ซึ่งต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ยกเว้นช่วงโควิด ขณะที่การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรก็หดตัวลง
ดันแคน ริกลีย์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนของ Pantheon Macroeconomics ระบุว่า “การแข็งค่าของหยวนอาจช่วยลดความตึงเครียดทางการค้า แต่ไม่น่าจะมีผลมากต่อดุลการค้า ซึ่งมีรากเหง้าจากการบริโภคที่อ่อนแอเมื่อเทียบกับการผลิต”
ผู้นำจีนให้ความสำคัญกับการกระตุ้นอุปสงค์ภายในเป็นอันดับหนึ่งในปี 2026 ตามคำมั่นของคณะกรรมการกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน
หากปักกิ่งไม่ดำเนินมาตรการควบคู่เพื่อสร้างเสถียรภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์และการบริโภค ผลกระทบของหยวนแข็งค่าที่มีต่อการส่งออกอาจทำให้เงินฝืดยิ่งรุนแรงขึ้น ตามรายงานของ ติง ลู่ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Nomura Holdings เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และอาจกลับมากดดันให้หยวนอ่อนค่าอีก
ลู่สรุปว่า “การใช้การแข็งค่าของเงินหยวนเพื่อลดดุลการค้าเกินดุลอาจไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีที่สุดสำหรับปักกิ่ง ตรงกันข้าม เราคิดว่าจีนควรปรับ ‘อัตราแลกเปลี่ยนหยวนที่แท้จริง’ ขึ้นโดยการยุติภาวะเงินฝืด”
- บทเรียนแห่งความระมัดระวัง
แม้เสียงเรียกร้องให้หยวนแข็งค่าจะดังขึ้นทั้งภายใน และจากต่างประเทศ แต่แรงกดดันให้ผู้กำหนดนโยบายจีนเปลี่ยนกลยุทธ์ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แต่ก็ยังมีคนจำนวนน้อยที่คาดหวังว่าหยวนจะปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว บางคนเปรียบเทียบกับเงินเยนของญี่ปุ่นที่แข็งค่าฉับพลันหลังข้อตกลงพลาซา (Plaza Accord) ในปี 1985 ซึ่งนำไปสู่ฟองสบู่สินทรัพย์ และความไม่มั่นคงทางการเงิน ขณะที่การลดค่าเงินหยวนแบบช็อกในปี 2015 ก่อให้เกิดความปั่นป่วนในตลาด และบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลจีนในการจัดการอัตราแลกเปลี่ยน
การคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นว่าหยวนจะปรับขึ้นเพียงเล็กน้อย Goldman Sachs คาดว่าในเดือนพฤศจิกายนปีนี้หยวนจะขึ้นไปอยู่ที่ 6.85 ต่อดอลลาร์ภายใน 12 เดือน ขณะที่ Deutsche Bank มองว่าหยวนจะอยู่ที่ 6.7 ในปี 2026 และ Morgan Stanley คาดว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงมาก หยวนจะอยู่ที่ 7.05
ริกลีย์ กล่าวสรุปว่า “คิดว่าจีนจะส่งเสริมให้หยวนแข็งค่าขึ้นแต่จะควบคุมอย่างรอบคอบ เพราะกังวลเรื่องการส่งออก การแข็งค่าครั้งใหญ่เป็นสิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้น ผู้กำหนดนโยบายมองกรณี Plaza Accord กับฟองสบู่สินทรัพย์ของญี่ปุ่นเป็นบทเรียนที่จีนต้องหลีกเลี่ยงทุกกรณี”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







