‘เกร็ก เอเบล’ ผู้กุมบังเหียน Berkshire คนใหม่ ความท้าทายใต้เงา 'บัฟเฟตต์'

‘เกร็ก เอเบล’ ผู้กุมบังเหียน Berkshire คนใหม่ ความท้าทายใต้เงา 'บัฟเฟตต์'

‘เกร็ก เอเบล’ ผู้กุมบังเหียนคนใหม่ของอาณาจักร Berkshire เผชิญความท้าทายสร้างชื่อเหนือเงา 'บัฟเฟตต์' สู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ทั้งการปรับโครงสร้างบริษัทและเผชิญเศรษฐกิจซับซ้อน

“เกร็ก เอเบล” (Greg Abel)  ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำคนใหม่ของบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ ( Berkshire Hathaway) สานต่อมรดกของ “วอร์เรน บัฟเฟตต์”   

ก่อนหน้านี้เอเบลพยายามหลีกเลี่ยงการเปิดเผยตัวต่อสาธารณะมานานหลายปี แต่ตอนนี้เข้าต้องมายืนภายใต้แสงสปอตไลท์เดียวกับบัฟเฟตต์ แต่ไร้ซึ่งคำชื่นชมและความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ทำให้ภารกิจที่ใหญ่ที่สุดของเอเบลคือ การสร้างชื่อเสียง สร้างผลงานให้เป็นที่ยอมรับ และพิสูจน์ตนเองในฐานะผู้สืบทอดบัฟเฟตต์  

ต้องบอกว่าการแต่งตั้งเอเบล เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของบัฟเฟตต์เป็นเรื่องบังเอิญที่ “ชาร์ลี มังเกอร์” รองประธานบริษัทวัย 97 ปี เผลอพูดพูดถึงผู้ที่จะมาแทนที่บัฟเฟตต์ในการประชุมประจำปี 2564 ของบริษัท โดยกล่าวว่า “เกร็กจะรักษาวัฒนธรรมของบริษัทไว้” ซึ่งเป็นการยืนยันโดยปริยายว่า เกร็ก เอเบล คือทายาทคนต่อไป

 4 ปีหลังจากนั้น เอเบล ซึ่งเป็นอดีตนักบัญชีที่ผันตัวไปบริหารธุรกิจพลังงานก็ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำของ Berkshire Hathaway บริษัทข้ามชาติมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ที่มีพนักงานเกือบ 400,000 คน เขายังเข้าควบคุมเงินสดสำรองมหาศาลถึง  382,000 ล้านดอลลาร์

การเข้ามารับตำแหน่งของเอเบล เกิดขึ้นท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างทั้งการปรับโครงสร้างผู้บริหารครั้งใหญ่  พร้อมกับความท้าทายทางธุรกิจและเศรษฐกิจที่ซับซ้อนมากขึ้น  ทั้งในธุรกิจประกันภัย เมื่อเข้าสู่ฤดูพายุเฮอริเคน แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะส่งผลกระทบให้รายได้จากการลงทุนที่บริษัททำไว้ลดลงตามไปด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้บริษัทได้รับคำแนะนำให้ขายหุ้นจากนักวิเคราะห์ ซึ่งเกิดขึ้นได้ยากมากสำหรับ Berkshire Hathaway

 จากคนส่งใบปลิว สู่ผู้สืบทอดอำนาจของ ‘บัฟเฟตต์’

‘เกร็ก เอเบล’ ผู้กุมบังเหียน Berkshire คนใหม่ ความท้าทายใต้เงา 'บัฟเฟตต์'

เกร็ก เอเบล เกิดที่เมืองเอดมันตัน รัฐอัลเบอร์ตา ประเทศแคนาดาและเติบโตมาในครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาและการทำงานหนักเป็นอย่างมาก

งานที่มีรายได้ครั้งแรกของเขาคือ การส่งใบปลิวโฆษณา ซึ่งคล้ายคลึงกับจุดเริ่มต้นของบัฟเฟตต์ ที่เคยเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ให้กับ Washington Post เมื่อหลายสิบปีก่อน หลังจากนั้นเขาก้ได้ทำงานในอาชีพต่างๆ ตั้งแต่ คนงานในโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ป่าไม้ ไปจนถึง งานบรรจุถังดับเพลิง

นายจ้างคนสุดท้ายได้ให้ทุนการศึกษาที่มหาวิทยาลัยอัลเบอร์ตา ซึ่งเป็นจุดที่พาชีวิตของเขาเข้าสู่เส้นทางสาขาธุรกิจ ซึ่งหลังเรียนจบในปี 1984 เอเบลเลือกเริ่มต้นอาชีพด้านบัญชี โดยเข้าทำงานกับบริษัทที่ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ PwC ที่เมืองเอดมันตัน ก่อนที่จะย้ายไปประจำที่สำนักงานในซานฟรานซิสโก

ต่อมาเอเบลได้ย้ายไปทำงานกับบริษัทแคลเอนเนอร์จี CalEnergy ซึ่งเป็นลูกค้าของ PwC และเป็น บริษัทผลิตพลังงานความร้อนใต้พิภพขนาดเล็ก ในเวลานั้น บริษัทนี้มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเข้าซื้อกิจการของบริษัทมิดอเมริกันเอเนอร์จี MidAmerican Energy  ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นของเขากับบัฟเฟตต์ 

 ในปี 1999 บริษัท Berkshire Hathaway ได้ตกลงเข้าถือหุ้นใหญ่ใน MidAmerican Energy ซึ่งเป็นจุดที่ เกร็ก เอเบล ได้เริ่มทำงานร่วมกับวอร์เรน บัฟเฟตต์ จากนั้นในปี 2008 เอเบลได้รับการแต่งตั้งให้เป็น CEO ของบริษัทที่ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Berkshire Hathaway Energy ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานขนาดใหญ่ที่ดูแลโครงข่ายไฟฟ้าในหลายรัฐ เช่น ไอโอวาและเนวาดา และเป็นเจ้าของท่อส่งก๊าซธรรมชาติที่ทอดยาวกว่า 21,000 ไมล์ทั่วสหรัฐ 

ดังนั้น การที่เอเบลสามารถพัฒนาธุรกิจพลังงานให้กลายเป็น แหล่งรายได้หลัก แหล่งหนึ่งของ Berkshire ได้สำเร็จ ทำให้ชื่อเสียงของเขาแข็งแกร่งขึ้นในฐานะผู้บริหารที่มีความสามารถ เน้นการลงมือปฏิบัติจริง และมีวิสัยทัศน์ในการใช้จ่ายอย่างคุ้มค่า

“ผมเองก็มีความปรารถนาที่จะทำงานเช่นกัน ผมแค่ตระหนักว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต” เอเบลให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2018 กับ Horatio Alger Association

ด้วยผลงานโดดเด่นนี้ เอเบลจึงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองประธานกรรมการ ในปี 2018 โดยรับผิดชอบดูแลธุรกิจทั้งหมดของ Berkshire ที่ไม่เกี่ยวข้องกับประกันภัย  ก่อนจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทายาทของวอร์เรน บัฟเฟตต์ในที่สุด 

การขึ้นดำรงตำแหน่งสูงสุดของเกร็ก เอเบล หมายถึงการที่เขาต้องเข้ามารับผิดชอบใน  2 ส่วนงานหลักที่เค้ายังไม่เคยทำมาก่อน คือ การบริหารธุรกิจประกันภัย และการบริหารจัดการพอร์ตหุ้นของ Berkshire ที่มีมูลค่าสูงถึงประมาณ 280,000 ล้านดอลลาร์

จิม ชานาฮาน นักวิเคราะห์จาก Edward Jones มองว่าการขาดประสบการณ์เฉพาะด้านอาจไม่ใช่ปัญหาหลัก เพราะ "การมองหาโอกาสในการเข้าซื้อกิจการที่น่าสนใจในราคาที่เหมาะสมนั้น ต้องอาศัยทักษะเฉพาะด้าน และทักษะเหล่านั้นสามารถนำไปปรับใช้ได้ในหลาย ๆ ด้าน 

ปรับโครงสร้างบริษัทครั้งใหญ่ 

เกร็ก เอเบล ส่งสัญญาณชัดเจนว่า “การรักษาวัฒนธรรมองค์กร” ที่วอร์เรน บัฟเฟตต์สร้างไว้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยเมื่อถูกถามเรื่องแผนการเงิน เขาก็ตอบโดยเน้นที่ "คุณค่าที่ยอดเยี่ยม" ของบริษัทมากกว่าแผนโดยละเอียด 

อย่างไรก็ตาม เพียง 7 เดือนต่อมา เอเบลได้เริ่ม ปรับตัวและเปลี่ยนแปลง โดยประกาศการปรับโครงสร้างผู้บริหารระดับสูงครั้งใหญ่ในสัปดาห์นี้ ซึ่งส่งผลให้โครงสร้างองค์กรเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ

การเปลี่ยนแปลงสำคัญในทีมบริหารหลายตำแหน่ง ทั้ง มาร์ค แฮมเบิร์ก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) ที่ทำงานมา 40 ปี จะเกษียณในปี 2027 โดย ชาร์ลส์ ชาง CFO จากหน่วยธุรกิจพลังงานของเอเบลจะมาแทน

 นอกจากนี้ Berkshire ยังได้แต่งตั้ง ไมเคิล โอ'ซัลลิแวน เป็น ที่ปรึกษาด้านกฎหมายทั่วไป ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในบริษัทแม่ ส่วน อดัม จอห์นสัน CEO ของ NetJets ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นประธานธุรกิจผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค ขณะที่เอเบลยังคงดูแลหน่วยธุรกิจใหญ่ ได้แก่ อุตสาหกรรม, การก่อสร้าง, การขนส่งสินค้า และพลังงาน

ข่าวที่สร้างความตกใจอย่างมากคือ ท็อดด์ คอมส์ หนึ่งในผู้คัดเลือกหุ้นหลัก และเป็น CEO ของ Geico ธุรกิจประกันภัยที่ใหญ่ที่สุดของ Berkshire ได้ลาออกไปร่วมงานกับ JPMorgan ซึ่งถือเป็น "ความสูญเสียสำหรับเบิร์กเชียร์" เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อมั่นในความสามารถของเขาอย่างมาก โดยแนนซี่ เพียร์ซ ซึ่งเป็น COO ของ Geico จะเข้ามารับตำแหน่ง CEO แทน

การปรับโครงสร้างผู้บริหารระดับสูงนี้คาดว่าจะสร้างความพอใจ ให้กับนักลงทุนบางส่วนที่เคยวิพากษ์วิจารณ์ แนวทางการกำกับดูแลกิจการ (Corporate Governance) ที่ไม่เหมือนใครของ Berkshire มาโดยตลอด เนื่องจาก Berkshire เป็นบริษัทเดียวที่ ไม่มีฝ่ายประสานงานนักลงทุนโดยเฉพาะ และ ขาดการเข้าถึงผู้บริหาร รวมถึงรายงานผลประกอบการที่มัก ขาดรายละเอียดที่ครอบคลุม

นักวิเคราะห์มองว่า เกร็ก เอเบล ต้องเผชิญกับการตรวจสอบที่เข้มงวดกว่าบัฟเฟตต์ และ "อาจไม่ได้ได้รับอิสระ" ในการตัดสินใจเหมือนที่บัฟเฟตต์เคยได้รับความไว้วางใจเสมอมา ซึ่งเหตุผลหลักที่บัฟเฟตต์ได้รับอิสระดังกล่าวคือ สัดส่วนการถือหุ้น 145,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งแตกต่างจากเอเบลที่ไม่ได้ผูกติดทรัพย์สินส่วนใหญ่ไว้กับหุ้นของ Berkshire  

สู่ยุคสมัย Berkshire  จ่ายปันผล?

เกร็ก เอเบล เข้ามารับตำแหน่งในช่วงที่ ผลตอบแทนจากการลงทุนของบัฟเฟตต์ไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุด เห็นได้จากตัวอย่างความผิดพลาดของดีลใหญ่ เช่น การควบรวม Kraft Foods Group และ H.J. Heinz Company ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ระดับโลก เมื่อปี 2015 ซึ่งล่าสุดธุรกิจนี้ได้ประกาศแยกตัวออกอีกครั้ง ส่งผลให้ Berkshire ต้องบันทึกค่าใช้จ่ายจากการด้อยค่าเป็นจำนวนสูงถึง 3,800 ล้านดอลลาร์ในปีนี้

นอกจากนี้ยังมีแรงกดดันให้จ่าย “เงินปันผล” จากเงินสดสำรองท่วมท้น หลังจากที่บัฟเฟตต์มีความลังเลในการนำเงินสดไปลงทุนในช่วงหลัง และบริษัทเทขายหุ้นมาหลายไตรมาส ทำให้เงินสดสำรองของบริษัทพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

‘เกร็ก เอเบล’ ผู้กุมบังเหียน Berkshire คนใหม่ ความท้าทายใต้เงา 'บัฟเฟตต์'

 ผู้ถือหุ้นจึงเริ่มตั้งคำถามว่าเงินสดจำนวนมหาศาลนี้ควรถูกนำไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่นหรือไม่ เช่น การจ่ายเงินปันผล 

นักวิเคราะห์มองว่า การเริ่มจ่ายเงินปันผลเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะบริษัทมีกระแสเงินสดเกินกว่าที่ใช้ได้ และการเก็บเงินสดไว้เฉย ๆ ก็ไม่คุ้มค่าในเชิงเศรษฐศาสตร์อีกต่อไป

แม้ว่าบัฟเฟตต์จะยืนยันมานานว่า การนำเงินสดไปลงทุนในธุรกิจหรือซื้อหุ้นคืนให้ผลประโยชน์สูงสุด แต่ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนไป เมื่ออัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ลดลง ทำให้เงินสดสำรองจำนวนมหาศาลของบริษัท สร้างผลตอบแทนได้น้อยลง และขนาดของบริษัทที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ โอกาสในการลงทุนครั้งใหญ่หายากขึ้นเรื่อย ๆ

ดังนั้น หากมีการตัดสินใจเริ่มจ่ายเงินปันผลจะถือเป็นการ “ปฏิวัติครั้งใหญ่” สำหรับ Berkshire เนื่องจากบริษัทเคยจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดเพียงครั้งเดียวในประวัติศาสตร์เมื่อปี 1967 ซึ่งบัฟเฟตต์เองก็จำได้ว่าเป็น "ฝันร้าย" 

แต่ทว่าสถานการณ์ที่ต่างออกไปสำหรับการตัดสินใจใดๆ ของเอเบลในการเปลี่ยนแปลงนโยบาย คือ “ความภักดี” ของนักลงทุนกับผู้นำคนต่อไปที่อาจไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับบัฟเฟตต์ ที่มีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทสูงถึง 145,000 ล้านดอลลาร์