เฟดเสียงแตก ลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่สามของปีนี้อีก 0.25%

เฟดเสียงแตกอนุมัติการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่สามของปีนี้ มองว่าการลดดอกเบี้ยในอนาคตอาจจะเกิดขึ้นได้ยาก ประธานเฟดชี้ต้องรอดูสภาพเศราษฐกิจจะพัฒนาต่อไปอย่างไร
ซีเอ็นบีซี รายงานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีความเห็นแตกแยกกันเกี่ยวกับลำดับความสำคัญของนโยบาย ได้โหวตลดอัตราดอกเบี้ยหลักในวันพุธ (10 ธ.ค.68) แต่ส่งสัญญาณว่าเส้นทางข้างหน้าสำหรับการลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมจะยากขึ้น
ตามความคาดหวังของการลดอัตราดอกเบี้ยแบบ "สายเหยี่ยว" คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ได้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ข้ามคืนหลักลง 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงระหว่าง 3.5%-3.75%
อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวครั้งนี้มาพร้อมกับสัญญาณเตือนเกี่ยวกับทิศทางนโยบายในอนาคต และมีเสียง "ไม่เห็นด้วย" จากสมาชิกสามคน ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2019
การลงคะแนน 9 ต่อ 3 ครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความเห็นที่แตกต่างกันระหว่างฝ่ายเหยี่ยวและสายพิราบ กรรมการผู้ว่าการสตีเฟน มิแรน สนับสนุนการลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.5% ในขณะที่ประธานภูมิภาค เจฟฟรีย์ ชมิด แห่งแคนซัสซิตี้ และออสตัน กูลส์บี แห่งชิคาโก สนับสนุนการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ ในภาษาของเฟด สายเหยี่ยวโดยทั่วไปจะกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อและสนับสนุนอัตราดอกเบี้ยสูง ในขณะที่ฝ่ายพิราบหรือผ่อนปรนจะเน้นที่การสนับสนุนตลาดแรงงานและต้องการอัตราดอกเบี้ยต่ำ
นี่เป็นการลงคะแนน “ไม่เห็นด้วย” ครั้งที่สามติดต่อกันจากมิแรน ซึ่งจะออกจากเฟดในเดือนมกราคม และเป็นครั้งที่สองติดต่อกันจากชมิด การประชุมที่มีเสียงคัดค้านสามครั้งก่อนหน้านี้ก็มีการแบ่งเสียง 2 ต่อ 1 จากสมาชิกที่ขัดแย้งกันระหว่างความจำเป็นในการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นและผ่อนคลายลง
ถ้อยแถลงอัตราดอกเบี้ยหลังการประชุมครั้งนี้ นำภาษาบางส่วนจากแถลงของการประชุม FOMC เมื่อหนึ่งปีก่อนกลับมาใช้ใหม่ โดยระบุว่า
“ในการพิจารณาขอบเขตและจังหวะเวลาของการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมต่อกรอบเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คณะกรรมการจะประเมินข้อมูลใหม่ที่เข้ามาอย่างรอบคอบ มุมมองเศรษฐกิจที่ปรับเปลี่ยนไป และดุลแห่งความเสี่ยง”
เมื่อภาษานี้ถูกใช้ในเดือนธันวาคม 2024 มันเป็นสัญญาณว่าคณะกรรมการน่าจะ “พักการลดดอกเบี้ย” ไประยะหนึ่ง และหลังจากนั้น FOMC ก็ไม่ได้อนุมัติการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมจนกระทั่งประชุมเดือนกันยายน 2025
เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด กล่าวในงานแถลงข่าวหลังการประชุมว่า การลดดอกเบี้ยครั้งนี้ทำให้เฟดอยู่ในจุดที่สบายใจมากขึ้นในแง่ระดับดอกเบี้ย
“ตอนนี้เราอยู่ในสถานะที่ดีที่จะรอและดูว่าเศรษฐกิจจะพัฒนาไปอย่างไร” พาวเวลล์กล่าว
ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นหลังจากการตัดสินใจ โดยดัชนี Dow Jones Industrial Average เพิ่มขึ้น 500 จุด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรส่วนใหญ่ลดลง
พาวเวลล์กล่าวเพิ่มเติมว่า “ตอนนี้เราอยู่บริเวณด้านบนของช่วง ‘ดอกเบี้ยที่เป็นกลาง’ พอดี ที่ผ่านมาบังเอิญว่าเราลดดอกเบี้ยมาสามครั้ง เราไม่ได้ตัดสินใจอะไรเกี่ยวกับการประชุมเดือนมกราคม แต่ดังที่ผมบอก เราคิดว่าเรายืนอยู่ในจุดที่ดีพอจะรอดูว่าเศรษฐกิจจะเคลื่อนไปอย่างไร”
- เฟดคาดลดดอกเบี้ยครั้งเดียวปีหน้า
หลังจากลดดอกเบี้ยต่อเนื่องเป็นครั้งที่สามแล้ว ความสนใจจึงหันไปที่ทิศทางต่อจากนี้ของคณะกรรมการ FOMC
แผนภาพ “ดอทพล็อต” ซึ่งเป็นที่จับตาอย่างใกล้ชิดและสะท้อนมุมมองรายบุคคลของเจ้าหน้าที่เฟดต่อแนวโน้มดอกเบี้ย บ่งชี้ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพียงหนึ่งครั้งในปี 2026 และอีกหนึ่งครั้งในปี 2027 ก่อนที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะไปแตะระดับเป้าหมายระยะยาวราว 3% ซึ่งเป็นภาพรวมที่ไม่เปลี่ยนจากประมาณการเดือนกันยายน แต่ดอทพล็อตก็สะท้อนให้เห็นถึงความเห็นที่แตกต่างกันภายในคณะกรรมการว่าดอกเบี้ยควรเดินหน้าไปทางไหน
นอกเหนือจากเสียงโหวต “ไม่เห็นด้วย” ฝั่งพิราบ 2 เสียงต่อการลดดอกเบี้ยแล้ว ยังมีผู้เข้าร่วมประชุมที่ไม่มีสิทธิ์ลงคะแนนอีก 4 คนแสดง “การคัดค้านแบบนุ่มนวล” ว่าพวกเขาไม่เห็นด้วยกับมติส่วนใหญ่ ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ 7 คนยังส่งสัญญาณว่าไม่ต้องการให้มีการลดดอกเบี้ยเลยในปีหน้า การประชุม FOMC มีผู้เข้าร่วม 19 คนจากบรรดากรรมการผู้ว่าการและประธานเฟดสาขาภูมิภาค โดยมี 12 คนที่มีสิทธิ์ลงมติ
พาวเวลล์กล่าวว่า “การอภิปรายที่เรามีในตอนนี้ดีไม่แพ้ครั้งไหน ๆ ตลอด 14 ปีที่ผมอยู่ในเฟด เป็นการสนทนาที่รอบคอบ ให้เกียรติกัน และคุณก็มีคนที่มีมุมมองแรง ๆ อยู่ทั้งสองฝั่ง แต่สุดท้ายเราก็มารวมกันและหาจุดที่สามารถตัดสินใจร่วมกันได้”
- ปรับเป้าจีดีพีปีหน้าขึ้น
ในด้านเศรษฐกิจ คณะกรรมการได้ปรับมุมมองรวมต่อการเติบโตของจีดีพีปี 2026 ขึ้น โดยปรับเพิ่มจากประมาณการเมื่อเดือนกันยายนอีก 0.5% ไปอยู่ที่ 2.3% และยังคงคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่เหนือเป้าหมาย 2% ไปจนถึงปี 2028
ในประเด็นเงินเฟ้อ ระดับราคายังอยู่ในระดับสูงยืดเยื้อ โดยมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดใช้อ้างอิงชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อรายปีอยู่ที่ 2.8% ในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นเดือนล่าสุดที่มีข้อมูล แม้ว่าจะลดลงจากจุดสูงสุดในช่วงไม่กี่ปีก่อนอย่างมาก แต่ก็ยังสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟดอยู่พอสมควร
นอกจากมติเรื่องดอกเบี้ยแล้ว เฟดยังประกาศว่าจะกลับมาเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอีกครั้ง ตามต่อจากการประกาศในการประชุมเดือนตุลาคมว่าธนาคารกลางจะหยุดการลดขนาดงบดุล ภายในเดือนนี้ การเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับแรงกดดันในตลาดเงินระยะสั้นข้ามคืน
ธนาคารกลางจะเริ่มจากการซื้อบิลตั๋วเงินคลัง (Treasury bills) มูลค่า 40,000 ล้านดอลลาร์ เริ่มวันศุกร์นี้ จากนั้นคาดว่าปริมาณการซื้อจะ “อยู่ในระดับสูงต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือน” ก่อนจะ “ถูกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ” ในภายหลัง
มาตรการเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงที่อ่อนไหวสำหรับเฟด
ขณะที่พาวเวลล์พยายามรักษาฉันทามติในหมู่ผู้กำหนดนโยบาย เขาก็กำลังเข้าใกล้ช่วงปลายของวาระประธานเฟดสมัยที่สอง เหลือการประชุมเพียงสามครั้งก่อนที่เขาจะต้องเปิดทางให้ผู้ได้รับการเสนอชื่อจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่ง
ทรัมป์ส่งสัญญาณชัดเจนว่าเขาจะใช้ “บททดสอบ” กับผู้ที่จะถูกเสนอชื่อ โดยดูจากความนิยมในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า เป็นเสมือนเครื่องชี้วัด มากกว่าการมองหาผู้ที่ยึดมั่นในพันธกิจคู่ของเฟดเรื่องเสถียรภาพราคาและการจ้างงานเต็มศักยภาพ ประธานาธิบดีกล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อเย็นวันอังคารว่าเขาคาดว่าจะตัดสินใจได้ในเร็ว ๆ นี้
ตลาดทำนายว่าผู้ได้รับการเสนอชื่อจะเป็นผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ เควิน แฮสเซตต์ ซึ่งในมุมมองของบางฝ่ายในตลาดการเงิน มองว่าเขาจะเป็นประธานเฟดที่พร้อมทำตามสิ่งที่ทรัมป์ต้องการ ณ เช้าวันพุธ แพลตฟอร์ม Kalshi ให้น้ำหนักโอกาสที่แฮสเซตต์จะได้รับเลือกที่ 72% ขณะที่อดีตกรรมการผู้ว่าการเฟด เควิน วอร์ช และกรรมการผู้ว่าการเฟดคนปัจจุบัน คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ อยู่ในระดับตามหลังห่างมาก
เจ้าหน้าที่เฟดต้องทำงานอยู่ในภาวะที่ข้อมูลทางการจำนวนมากซึ่งใช้ประกอบการตัดสินใจ ทยอยออกมาล่าช้ามากหรือไม่มีเลย เนื่องจากการชัตดาวน์รัฐบาลที่กินเวลาราวหกสัปดาห์จนถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน
สำหรับข้อมูลที่พอมีอยู่ บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานอยู่ในภาวะ “จ้างน้อย ไล่ออกน้อย” นายจ้างทั้งไม่อยากเพิ่มจำนวนพนักงาน แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการปลดคนจำนวนมาก อย่างไรก็ดี สัญญาณล่าสุดจากข้อมูลนอกภาครัฐชี้ว่าอาจมีการลดตำแหน่งงานรุนแรงขึ้นในระยะข้างหน้า โดยตามรายงานของบริษัทจัดหางาน Challenger, Gray & Christmas จำนวนการปลดพนักงานที่ประกาศไว้จนถึงเดือนพฤศจิกายนพุ่งเกิน 1.1 ล้านตำแหน่งแล้ว







