ถอดบทเรียนวิกฤติชิป ‘Nexperia’ ในวันที่ ‘จีน’ กุมห่วงโซ่อุปทานโลก

ถอดบทเรียนวิกฤติชิป Nexperia 'จีน' กุมห่วงโซ่อุปทานโลก กระทบการผลิตรถยนต์โลกหยุดชะงัก บีบอุตสาหกรรมโลกต้องเปลี่ยนโฟกัสจาก 'ต้นทุนต่ำสุด' สู่ 'ความมั่นคงทางอุปทาน'
วิกฤตการณ์ขาดแคลนชิปของบริษัท Nexperia (เน็กซ์พีเรีย) ผู้ผลิตชิปสัญชาติดัตช์ทำให้เห็น “จุดอ่อน” ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนของห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ทั่วโลกว่าแม้แต่ “ชิป” ธรรมาที่มีราคาแสนถูกก็สามารถกลายเป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์ของ “จีน” ทำให้การผลิตทั่วโลกหยุดชะงักได้
'ความเสี่ยง’ ที่ถูกมองข้าม
หลังจากที่ผู้ผลิตรถยนต์เคยเผชิญกับวิกฤติเซมิคอนดักเตอร์ครั้งใหญ่จากโควิด-19 ในปี 2563 และเหตุเพลิงไหม้โรงงานในญี่ปุ่นในปีถัดมา หลายบริษัทต่างให้คำมั่นว่าจะเสริมความแข็งแกร่งของสายการผลิตเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย แต่ทุกๆ บริษัทกลับมองข้ามความเสี่ยงนี้
แอมโบรส คอนรอย ซีอีโอของ Seraph Consulting บริษัทที่ปรึกษาด้านรถยนต์บอกว่า “จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครเลยที่เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์”
“จุดอ่อน” ของอุตสาหกรรมคือ มุ่งเน้นแต่ชิ้นส่วนไฮเทค และมองข้ามชิปธรรมดา ๆ ซึ่งใช้ในอุปกรณ์สำคัญของรถยนต์ เช่น ระบบเบรก หรือ กระจกไฟฟ้า โดยชิปเหล่านี้มีราคาต่อชิ้นเพียงเศษเสี้ยว แต่การขาดแคลนชิปเหล่านี้กลับทำให้ยักษ์ใหญ่อย่างนิสสัน (Nissan), ฮอนด้า (Honda) ต้องลดกำลังการผลิต และ บ๊อช Bosch (Bosch) ซัพพลายเออร์สัญชาติเยอรมนี ต้องลดชั่วโมงการทำงานในโรงงาน
อุตสาหกรรมยานยนต์ประเมิน “ความเสี่ยงต่ำไป” แหล่งข่าวของ Nexperia เผยว่า ชิปของ Nexperia ถูกมองว่าราคาถูกมาก และ หาซื้อได้ง่ายมากจนผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปรายหนึ่งมักจะไม่ได้เตรียมอุปกรณ์สำรองไว้เลย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ตกอยู่ในความเสี่ยงต่อแรงกระแทกทางภูมิรัฐศาสตร์
อัลเฟรโด มอนตูฟาร์-เฮลู จาก Ankura Consulting มองว่า กรณีของ Nexperia มองว่านี่ได้เผยให้เห็นถึง จุดอ่อนเชิงกลยุทธ์ ที่แท้จริงของผู้ผลิตไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงการขาดแคลน ส่วนประกอบเทคโนโลยีขั้นสูง และมีราคาสูงเท่านั้น แต่ปัญหาที่แท้จริงคือ การพึ่งพาประเทศจีนในส่วนของ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ธรรมดาแต่จำเป็น ซึ่งเป็นส่วนที่อุตสาหกรรมมองข้ามไป
‘ภูมิรัฐศาสตร์’ จุดชนวนวิกฤติชิป ดันจีนกุมอำนาจ
ชนวนของวิกฤติครั้งนี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้ตัดสินใจเข้าควบคุมสำนักงานใหญ่ของ Nexperia ในเมืองไนเมเคิน โดยกังวลว่าเทคโนโลยีของบริษัทอาจถูกถ่ายโอนไปยังบริษัทวิงเทค (Wingtech) ซึ่งเป็นบริษัทแม่สัญชาติจีน
จีนตอบโต้ทันที ด้วยการ “ระงับการส่งออกชิป Nexperia ที่ผลิตสำเร็จรูป” จากโรงงานในเขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียง ซึ่งเป็นโรงงานที่จัดส่งเซมิคอนดักเตอร์ที่ใช้ในอุปกรณ์หลากหลายชนิด
ในขณะที่รัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุมสำนักงานใหญ่ของ Nexperia ที่เมือง ไนเมเคิน (Nijmegen) การดำเนินงานของบริษัทย่อยในประเทศจีนยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของ บริษัทแม่ของ Nexperia ในจีน
หลี่ ซิงศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจาก สถาบัน Guangdong Institute for International Strategies มองว่า "ชาวดัตช์คิดว่าพวกเขายึดบริษัท Nexperia ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขายึดได้เพียงแค่อาคารสำนักงานเท่านั้น"
ขณะนี้ Nexperia กลับมาจำหน่ายสินค้าให้กับผู้จัดจำหน่ายภายในประเทศบางรายอีกครั้งในช่วงปลายเดือนต.ค. แต่ได้กำหนดให้ชำระเงินด้วย “สกุลเงินหยวน” สะท้อนว่าธุรกิจในจีนต้องการเป็นอิสระมากขึ้นจากสำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์
โฆษกของ Wingtech กล่าวว่าวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า ความพยายามของชาติตะวันตกในการแยกส่วนหรือกีดกันบริษัทข้ามชาติออกจากการดำเนินงานในจีนนั้น เป็นการกระทำที่ส่งผลเสียต่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว จะทำให้หลายอุตสาหกรรมหลัก ๆ ต้องตกอยู่ในภาวะเสี่ยงและได้รับผลกระทบตามไปด้วย
“ความซับซ้อนระดับโลกของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์ผลกระทบของปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์” Wingtech ระบุ
กรณีศึกษา Nexperia ได้ตอกย้ำว่าอำนาจของจีนไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงแร่ธาตุหายากหรือเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่ยังรวมถึงส่วนประกอบที่ดูธรรมดาแต่กลับมีความสำคัญในการผลิต
‘กักตุนชิป’ คือทางรอด
คอนรอย จาก Seraph Consulting แนะนำให้ผู้ผลิตรถยนต์เปลี่ยนแนวคิดจากการเน้นลดต้นทุนแบบสุดโต่ง และหันมา เก็บสต็อกชิ้นส่วนสำคัญสำรองไว้ให้มากขึ้น ในภูมิภาคที่ดำเนินธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่ มีค่าใช้จ่ายสูง เพราะเป็นการเปลี่ยนแนวทางการปฎิบัติเดิมในระบบ "ทันเวลาพอดี" ซึ่งเป็นวิธีการจัดการสินค้าคงคลังที่เคยช่วยลดต้นทุนได้มาก แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นความเสี่ยงเมื่อเกิดวิกฤติทางภูมิรัฐศาสตร์
ปัญหาการขาดแคลนชิป Nexperia ได้บังคับให้ Nissan ต้องลดการผลิตรถยนต์ Rogue SUV ซึ่งเป็นรถขายดีที่สุดลง แต่ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นที่รอดพ้น คือ “โตโยต้า” (Toyota)
โตโยต้าได้สั่งกักตุนชิปสำรองไว้ใช้ได้นานหลายเดือน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจที่ถูกพัฒนาขึ้นหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในญี่ปุ่นเมื่อปี 2554 ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า การลงทุนในการสำรองสินค้าคงคลัง แม้จะมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ก็เป็นมาตรการป้องกันความเสี่ยงที่จำเป็นอย่างยิ่งในโลกที่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์มีความผันผวนสูง
วิกฤตินี้เป็นสัญญาณเตือนครั้งสำคัญว่า อุตสาหกรรมโลกต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์จากการเน้นประสิทธิภาพสูงสุดและต้นทุนต่ำสุด มาสู่การสร้างความยืดหยุ่นและ ความมั่นคงทางห่วงโซ่อุปทานแทน







