ต่างชาติแห่ซื้อ 'บอนด์ญี่ปุ่น' พุ่ง 65% เสี่ยงฉุดระบบการเงินโลกผันผวน

ต่างชาติแห่ซื้อ 'บอนด์ญี่ปุ่น' เป็นประวัติการณ์ ครองตลาด 65% เสี่ยงซ้ำรอยอังกฤษยุค 'ทรัสส์' ปิดฉากยุคเงินฟรี นักวิเคราะห์หวั่นญี่ปุ่นกำลังส่องออกความผันผวนสู่ตลาดการเงินโลก
บลูมเบิร์กรายงานว่านักลงทุนต่างชาติแห่เข้าสู่ ตลาดพันธบัตรญี่ปุ่นเป็นประวัติการณ์และต้องเผชิญกับความเสี่ยงครั้งสำคัญ ขณะที่หนี้สาธารณะของประเทศพุ่งสูงขึ้น
สัดส่วนต่างชาติพุ่งสูงกว่า 5 เท่าในรอบ 16 ปี
ข้อมูลจากสมาคมผู้ค้าหลักทรัพย์ญี่ปุ่นเผยว่า ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนประมาณ 65% ของการทำธุรกรรมในตลาดพันธบัตรญี่ปุ่นแบบรายเดือน ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากเพียง 12% ในปี 2552
การเข้ามาของนักลงทุนหน้าใหม่ ตั้งแต่กองทุนป้องกันความเสี่ยงไปจนถึงผู้จัดการสินทรัพย์ระดับโลก ได้กลายเป็นทั้งแหล่งที่มาของอุปสงค์และความผันผวนที่อาจลามไปสู่ “ตลาดการเงินโลก”
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผู้กำหนดนโยบายของญี่ปุ่นกำลังอ่อนไหวอย่างยิ่งท่ามกลาง 2 สถานการณ์
- มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่
นายกรัฐมนตรี “ซานาเอะ ทาคาอิจิ” ได้ประกาศใช้มาตรการใช้จ่ายครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศนับตั้งแต่มีการผ่อนคลายมาตรการรับมือโรคระบาด
- BoJ ลดการซื้อพันธบัตร
ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กำลังลดการซื้อพันธบัตรของตนเอง ทำให้อัตราผลตอบแทนอยู่ในระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ ซึ่งดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่จำนวนมาก ตั้งแต่กองทุนป้องกันความเสี่ยงไปจนถึงผู้จัดการสินทรัพย์ระดับโลกให้เข้าสู่ตลาด พันธบัตรมูลค่า 7.4 ล้านล้านดอลลาร์ของโตเกียว
ความผันผวนที่เพิ่มขึ้นในตลาดพันธบัตรญี่ปุ่นปรากฏชัดในตัวเลขทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปี ที่ได้ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนนี้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะยาวอื่น ๆ ทั้งอายุ 20 ปีและ 40 ปี ก็เพิ่มขึ้นประมาณ 1% ในช่วงเวลาเดียวกัน
สภาวะดังกล่าวทำให้ความผันผวนของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าจากระดับปี 2564 โดย Goldman Sachs Group Inc. ถึงกับนิยามญี่ปุ่นว่าเป็น "ผู้ส่งออกความผันผวนของตลาด"
แม้ว่านักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาซื้อขายอย่างคึกคักและก่อให้เกิดความผันผวน แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังคงยืนยันว่าเงินทุนจากต่างประเทศไม่สามารถเข้ามาแทนที่นักลงทุนในประเทศได้ ซึ่งนักลงทุนญี่ปุ่นยังคงเป็น แหล่งถ่วงดุลที่สำคัญที่สุดในตลาด JGB โดยเฉพาะอย่างยิ่ง BOJ ที่ถือครองพันธบัตรญี่ปุ่นมากกว่า 50% ของทั้งหมด ขณะที่กลุ่มนักลงทุนสถาบันภายในประเทศอื่น ๆ ก็ยังคงถือครองสัดส่วนที่สูงมาก
เสี่ยงซ้ำรอยวิกฤติความเชื่อมั่นแบบสหราชอาณาจักร
นักวิเคราะห์เตือนว่า ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะเจอกับวิกฤติความเชื่อมั่นแบบเดียวกับที่เคยทำให้สหราชอาณาจักรตกต่ำในช่วงเวลาสั้นๆ ที่วุ่นวายของ “ลิซ ทรัสส์” อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งการสูญเสียความเชื่อมั่นกะทันหันส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลพุ่งสูงขึ้น
ขณะนี้ หนี้สาธารณะของญี่ปุ่นคาดว่าจะสูงถึง 1.45 ล้านล้านล้านเยน หรือราว 9.3 ล้านล้านดอลลาร์ ในปีนี้ หรือคิดเป็นประมาณ 230% ของ GDP
สตีเฟน มิลเลอร์ ที่ปรึกษาบริษัทจัดการกองทุน GSFM เตือนว่า นายกรัฐมนตรีทาคาอิจิจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ และ "ไม่จำเป็นต้องทำพลาดร้ายแรงเหมือนที่ลิซ ทรัสส์ เคยประสบจนอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติหวาดกลัว”
'ยุคของเงินฟรี' ได้สิ้นสุดลงแล้ว
แม้ว่านักลงทุนญี่ปุ่นในประเทศยังคงเป็นผู้ถือครอง JGB ส่วนใหญ่ โดย BoJ ถือครองมากกว่า 50% แต่ผู้ค้าต่างชาติที่มีความคล่องตัวสูง มักจะซื้อขายเพื่อทำกำไรและมีโอกาสขายสินทรัพย์ที่ถืออยู่ทิ้งได้ง่ายดายกว่าผู้ถือครองในประเทศ
แมทธิว ไรอัน หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การตลาดของ Ebury กล่าวสรุปว่า “ญี่ปุ่นกำลังก้าวขึ้นเป็นผู้ส่งออกความผันผวนรายใหม่ของโลกมากขึ้นเรื่อยๆ ยุคของ ‘เงินฟรี’ ได้สิ้นสุดลงแล้ว”
นักวิเคราะห์ต่างมองว่า ตราบใดที่ BoJ ตัดสินใจช้าในการปรับนโยบาย เพื่อรับมือกับอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงสูงกว่าเป้าหมาย 2% ผลกระทบต่อความผันผวนของตลาดโลกก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
อ้างอิง Bloomberg







