อินเดีย-รัสเซีย ‘ยกระดับร่วมมือ’ ตั้งเป้าการค้าให้สูงแตะ 3 ล้านล้าน

อินเดีย-รัสเซีย ‘ยกระดับร่วมมือ’ ตั้งเป้าการค้าให้สูงแตะ 3 ล้านล้าน

อินเดีย–รัสเซียกระชับความร่วมมือ ตั้งเป้าเพิ่มการค้าระหว่างกันให้สูงแตะ ‘3 ล้านล้านบาท’ พร้อมปรับความสัมพันธ์กลาโหมครั้งใหญ่

เว็บไซต์นิกเกอิ เอเชียรายงานว่า หลังจาก อินเดีย ได้รับผลกระทบหนักจาก ภาษีทรัมป์ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี แห่งอินเดีย และประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ของ รัสเซีย ได้พบกันที่กรุงนิวเดลีเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า จะยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้ “แน่นแฟ้นขึ้น” ซึ่งรวมถึงการตั้งเป้า “ขยายการค้ากว่า 50% ภายใน 5 ปี” เพิ่มความร่วมมือด้านพลังงาน และปรับความร่วมมือด้านความมั่นคง–กลาโหมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ปูตินเดินทางถึงกรุงนิวเดลีเมื่อเย็นวันพฤหัสบดี เพื่อเยือนอย่างเป็นทางการเป็นเวลา 2 วัน โดยโมดีได้ให้การต้อนรับด้วยการสวมกอดอย่างอบอุ่นทันทีที่ปูตินลงจากเครื่องบิน จากนั้นทั้งสองได้นั่งรถคันเดียวกันของโมดีออกจากสนามบิน และร่วมรับประทานอาหารค่ำแบบส่วนตัวในเวลาต่อมา

“ประเทศของเราเป็นพันธมิตรสำคัญกันในด้านการค้า การลงทุน และเทคโนโลยี” ปูตินกล่าวระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับโมดีหลังการประชุมเมื่อวันศุกร์ พร้อมประกาศตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าทวิภาคีเป็น 100,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3 ล้านล้านบาท) จากระดับปัจจุบันราว 64,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2030

ระหว่างการแถลงข่าวร่วม โมดี แทบไม่ได้กล่าวถึงประเด็น การนำเข้าน้ำมันรัสเซีย มากนัก โดยกล่าวเพียงว่า “ความมั่นคงด้านพลังงาน เป็นเสาหลักที่แข็งแกร่งและสำคัญ” ของความสัมพันธ์ทวิภาคี 

นอกจากนี้ ผู้นำอินเดียยังระบุว่า ความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์พลเรือนที่มีมายาวนานหลายทศวรรษ ถือเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยผลักดันความสำคัญร่วมกันของทั้งสองประเทศ ในการมุ่งสู่พลังงานสะอาด

ด้านปูติน แสดงท่าทีชัดเจนในการต่อต้านแรงกดดันทางการค้าจากทรัมป์ โดยระบุว่า รัสเซีย “พร้อมจัดส่งเชื้อเพลิงอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจอินเดียที่เติบโตอย่างรวดเร็ว”

นอกจากนี้ ปูตินยังชี้ว่า มอสโกกำลังทำงานร่วมกับอินเดีย เพื่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย คือโรงไฟฟ้าคูดังคูลัม โดยขณะนี้มีเครื่องปฏิกรณ์ 2 ใน 6 เครื่องเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าแล้ว ส่วนที่เหลือกำลังก่อสร้างอยู่

แถลงการณ์ร่วมยังระบุด้วยว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะ “สนับสนุนการผลิตชิ้นส่วน อะไหล่ ส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ สำหรับการบำรุงรักษาอาวุธและยุทโธปกรณ์ที่มีต้นกำเนิดจากรัสเซีย ภายในประเทศอินเดีย” ผ่านการ “ถ่ายทอดเทคโนโลยีและการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน” และยังนำไปสู่การส่งออกต่อไปยังประเทศที่เป็นมิตรกับทั้งสองฝ่ายอีกด้วย

ก่อนการเดินทางของปูติน มีการคาดการณ์กันว่า หนึ่งในหัวข้อสำคัญของการหารือระหว่างโมดีและปูตินคือ ความเป็นไปได้ที่อินเดียจะสั่งซื้อ “ระบบป้องกันภัยทางอากาศ S-400” จากรัสเซีย เพิ่มเติม โดยอินเดียได้รับมอบแล้ว 3 ระบบ และคาดว่าจะได้รับอีก 2 ระบบภายในสิ้นปีหน้า อีกทั้งสื่อยังระบุด้วยว่า อินเดียกำลังพิจารณาการผลิตเครื่องบินรบล่องหนรุ่นที่ห้า Su-57 ร่วมกับรัสเซีย

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงประเด็นดังกล่าว วิกรม มิศรี ปลัดกระทรวงการต่างประเทศอินเดียเผยว่า “ผมคาดว่าเรื่องเหล่านี้ ได้ถูกพูดคุยกัน” พร้อมเสริมว่า ระหว่างผู้นำทั้งสอง “มีการหารือในภาพรวมเกี่ยวกับความแข็งแกร่งและความร่วมมือด้านกลาโหมระหว่างอินเดีย–รัสเซียที่ยืนยาวต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน”

เมื่อถูกถามว่าทำไมไม่มีการประกาศข้อตกลงด้านกลาโหมครั้งใหญ่ ราช กุมาร ชาร์มา นักวิจัยอาวุโสจาก NatStrat ให้สัมภาษณ์กับนิกเกอิ เอเชียว่า “เป็นไปได้ว่าจะเกิดจากปัญหาด้านการชำระเงิน มาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานด้านกลาโหมของมอสโก รวมถึงความต้องการใช้อาวุธของรัสเซียเองในช่วงนี้”

“เรื่องนี้ทำให้การเจรจาทั้งสองฝ่ายต้องยืดเยื้อออกไป เพราะการหาทางออกจำเป็นต้องใช้เวลา” เขากล่าวเพิ่มเติม

นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือหลายฉบับ ครอบคลุมด้านการย้ายถิ่นและความคล่องตัวของแรงงาน ระบบสาธารณสุข ความปลอดภัยด้านอาหาร ท่าเรือและการเดินเรือ ตลอดจนปุ๋ยเคมี

โมดีกล่าวว่า “ทั้งสองฝ่ายกำลังเร่งรัดเพื่อสรุปความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพเศรษฐกิจยูเรเชียให้ได้โดยเร็ว” พร้อมระบุว่า อินเดียและรัสเซีย “กำลังพยายามร่วมกันในการผลิตยูเรีย รวมถึงอุตสาหกรรมต่อเรือขึ้น”


อ้างอิง: nikkei