ดีล Netflix ซื้อกิจการ Warner Bros. เสี่ยงละเมิดกฎหมายต้านผูกขาด

ดีล Netflix ซื้อกิจการ Warner Bros. เสี่ยงละเมิดกฎหมายต้านผูกขาด

เจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสระบุ รัฐบาลทรัมป์มองดีล Netflix ควบรวมกิจการกับ Warner Bros. มูลค่า 72,000 ล้านดอลลาร์ด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง หน่วยงานกำกับอาจไม่ให้ไฟเขียว

ซีเอ็นบีซี รายงานว่ารัฐบาลทรัมป์มองดีลมูลค่า 72,000 ล้านดอลลาร์ที่ Netflix เสนอเข้าซื้อธุรกิจภาพยนตร์และสินทรัพย์สตรีมมิงของ Warner Bros. Discovery ด้วย “ความสงสัยอย่างมาก” เจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสคนหนึ่งกล่าวกับผู้สื่อข่าวของซีเอ็นบีซี เมื่อเช้าวันศุกร์ โดยดีลดังกล่าวยังต้องผ่านการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลก่อนจึงจะมีผล  

Netflix ระบุเมื่อวันศุกร์ว่าจะเข้าซื้อสตูดิโอภาพยนตร์ Warner Bros และบริการสตรีมมิง HBO Max ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงนี้ 

ขณะที่วุฒิสมาชิกเอลิซาเบธ วอร์เรน จากพรรคเดโมแครต มลรัฐแมสซาชูเซตส์ กล่าวว่าดีลนี้ “ดูเป็นฝันร้ายด้านการผูกขาด”  

วอร์เรนระบุในแถลงการณ์ว่า “การควบรวมระหว่าง Netflix กับ Warner Bros. จะสร้างยักษ์ใหญ่สื่อเพียงรายเดียวที่ครองส่วนแบ่งตลาดสตรีมมิงเกือบครึ่งหนึ่ง ซึ่งอาจบีบบังคับให้ชาวอเมริกันต้องจ่ายค่าสมัครสมาชิกแพงขึ้น และมีทางเลือกในการรับชมเนื้อหาน้อยลง ทั้งในด้านสิ่งที่ดูและวิธีการดู ขณะเดียวกันยังเสี่ยงต่อการจ้างงานของแรงงานอเมริกัน”  

เธอยังกล่าวด้วยว่า “ภายใต้รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ กระบวนการพิจารณาด้านกฎหมายต่อต้านการผูกขาดได้กลายเป็นบ่อโคลนของการเล่นพรรคเล่นพวกและคอร์รัปชัน กระทรวงยุติธรรมจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาดของประเทศอย่างเป็นธรรมและโปร่งใส ไม่ใช่ใช้การพิจารณาดีล Warner Bros. เป็นช่องทางเปิดให้มีการวิ่งเต้นและติดสินบน”  

ด้าน Paramount Skydance เคยยื่นข้อเสนอหลายครั้งเพื่อขอซื้อ Warner Bros. Discovery ทั้งบริษัท แทนที่จะซื้อเพียงบางส่วนของสินทรัพย์ โดยข้อเสนอครั้งสุดท้ายซึ่งส่งถึงเมื่อค่ำวันพฤหัสบดีอยู่ที่ราคา 30 ดอลลาร์ต่อหุ้น เป็นเงินสดทั้งหมด ขณะเดียวกัน Comcast ก็ได้ยื่นข้อเสนอซื้อธุรกิจภาพยนตร์และสินทรัพย์สตรีมมิงของ WBD ด้วยเช่นกัน

คู่แข่ง Netflix คัดค้านการซื้อกิจการ

หนังสือพิมพ์นิวยอร์กโพสต์รายงานเมื่อวันพฤหัสบดีว่า “เดวิด เอลลิสัน ซีอีโอของ Paramount Skydance ได้พบกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลทรัมป์และสมาชิกสภาคองเกรสคนสำคัญในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันพุธ เพื่อผลักดันคัดค้านความเป็นไปได้ที่ Warner Bros. Discovery จะเลือก Netflix เป็นพันธมิตรควบรวมกิจการ”  

แลร์รี เอลลิสัน มหาเศรษฐีผู้เป็นบิดาของเดวิด มีความใกล้ชิดกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์  

ในวันพฤหัสบดี เช่นกัน วอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงานว่า Paramount ได้ส่งจดหมายถึงทีมทนายความของ WBD เตือนว่าหากขายกิจการให้ Netflix ข้อตกลงดังกล่าว “มีแนวโน้มจะไม่สามารถปิดดีลได้เลย” เนื่องจากอุปสรรคด้านกฎระเบียบทั้งในสหรัฐฯ และต่างประเทศ  

“การที่ Netflix เข้าซื้อสินทรัพย์ด้านสตรีมมิงและสตูดิโอของ Warner จะยิ่งทำให้ความเป็นใหญ่ของ Netflix ทั่วโลกฝังรากและขยายตัวในลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายการแข่งขันทางการค้าทั้งในและต่างประเทศ” ทนายของ Paramount เขียนไว้ ตามรายงานของวอลล์สตรีทเจอร์นัล  

การซื้อสินทรัพย์ของ WBD โดย Netflix คาดว่าจะปิดดีลได้ หากผ่านการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล ภายหลัง WBD ดำเนินการแยกธุรกิจ Discovery Global ออกไปตามแผนเดิมให้เสร็จก่อน ซึ่งขณะนี้กำหนดไว้ในไตรมาส 3 ปี 2026  

Discovery Global จะรวมทีวีช่อง CNN, TNT Sports และ Discovery ไว้ด้วย  

เอกสารที่ยื่นต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) ระบุว่า หากดีลไม่ได้รับอนุมัติ Netflix ตกลงที่จะจ่ายค่าธรรมเนียม “ยกเลิกดีลแบบย้อนกลับ (reverse break-up fee)” เป็นเงิน 5.8 พันล้านดอลลาร์  

ทรัมป์เคยคัดค้านดีลที่ AT&T จะเข้าซื้อ Time Warner ตั้งแต่ก่อนเข้ารับตำแหน่งในทำเนียบขาวสมัยแรก โดยระบุว่า “เป็นการกระจุกตัวของอำนาจไว้ในมือคนเพียงไม่กี่กลุ่มมากเกินไป”  

หลังจากเขาเข้ารับตำแหน่ง กระทรวงยุติธรรม (DOJ) ก็ได้ยื่นฟ้องในเดือนพฤศจิกายน 2017 เพื่อพยายามสกัดกั้นการควบรวมกิจการดังกล่าวกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ แพ้คดีฟ้องร้องนั้น และการควบรวมกิจการก็ปิดดีลสำเร็จในเดือนมิถุนายน 2018  

ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2024 ทรัมป์เคยคัดค้านข้อเสนอขาย U.S. Steel ให้กับ Nippon Steel ของญี่ปุ่น แต่หลังจากกลับเข้าสู่ทำเนียบขาวในเดือนมกราคม ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อเดือนมิถุนายน อนุมัติให้มีการควบรวมกิจการดังกล่าว ภายหลังทั้งสองบริษัทลงนามข้อตกลงด้านความมั่นคงแห่งชาติร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ  

ข้อตกลงนี้มอบ “หุ้นทองคำ” (golden share) ให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ ในบริษัทที่ควบรวมกัน ซึ่งทรัมป์อ้างว่าทำให้ประธานาธิบดีมี “อำนาจควบคุมโดยสมบูรณ์”  

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า หุ้นดังกล่าวทำให้รัฐบาลมีอำนาจชี้ขาดที่มากเป็นพิเศษในด้านธรรมาภิบาลของบริษัท