ถึงเวลาปล่อยหยวนแข็งค่า! นักเศรษฐศาสตร์แนะรัฐบาล

ถึงเวลาปล่อยหยวนแข็งค่า! นักเศรษฐศาสตร์แนะรัฐบาล

นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของจีนเสนอว่า ถึงเวลาที่รัฐบาลควรปล่อยให้ ‘เงินหยวนแข็งค่ามากขึ้น’ เพราะจะช่วยให้คนจีนซื้อของได้ถูกลง ลดแรงกดดันทางการค้า และปรับเศรษฐกิจจีนให้สมดุลขึ้น ทั้งยังสอดคล้องกับช่วงที่ดอลลาร์อ่อนค่าและภาคการผลิตจีนแข็งแรงขึ้นในขณะนี้

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า นักเศรษฐศาสตร์จากหนึ่งในธนาคารเพื่อการลงทุนรายใหญ่ของจีนมองว่า ตอนนี้เป็น “จังหวะเหมาะสม” ที่รัฐบาลควรปล่อยให้ “เงินหยวนแข็งค่าขึ้นกว่าปัจจุบัน” โดยการตัดสินใจเช่นนี้จะช่วยให้ผู้บริโภคมีอำนาจซื้อเพิ่มขึ้น และช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้า

“ช่วงเวลานี้อาจเป็นโอกาสเหมาะสมในการปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่า” เหมียว เหยียนเลี่ยง หัวหน้านักกลยุทธ์ของ China International Capital กล่าว

เหมียวระบุว่า ตอนนี้เป็นจังหวะที่เอื้ออำนวยเป็นพิเศษ เพราะเงินดอลลาร์สหรัฐอาจกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงอ่อนค่ายาวนาน ขณะที่ความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตจีน ก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ

ถ้าจีนยอมรับอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้น อาจถือเป็นท่าทีเชิงบวกต่อสหรัฐและประเทศอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยให้จีนลดกระแสต่อต้านจากนานาชาติที่มองว่า จีนกำลังทุ่มตลาดโลกด้วยสินค้าราคาถูกจำนวนมหาศาล

ประสบการณ์ของหลายประเทศในเอเชีย รวมถึงประวัติศาสตร์ของจีนเอง บ่งชี้ว่า เงินสกุลที่แข็งค่าขึ้น สามารถช่วยให้การเติบโตของอุปสงค์ทั้งในประเทศและต่างประเทศมีความสมดุลมากขึ้น ตามความเห็นของเหมียว

“การปล่อยให้เงินหยวน แข็งค่าขึ้นในระดับปานกลาง จะช่วยลดราคาสินค้านำเข้า พลังงาน และบริการ ซึ่งทำให้กำลังซื้อของประชาชนจีนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” เขากล่าว “ซึ่งไม่เพียงกระตุ้นการนำเข้าเท่านั้น แต่ยังช่วยผลักดันการบริโภคสินค้าภายในประเทศให้เพิ่มขึ้นด้วย”

ที่ผ่านมา นักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนตะวันตกจำนวนมากมองว่า ค่าเงินของจีนถูกตรึงให้อยู่ในระดับ “ต่ำเกินจริง” ซึ่งในมุมมองของพวกเขา การกดค่าเงินเช่นนี้ ยิ่งทำให้ผู้ส่งออกจีนได้เปรียบมากขึ้น เพราะทำให้สินค้าจีนราคาถูกลงเมื่อเทียบกับคู่แข่งประเทศอื่น และนำไปสู่ความไม่สมดุลทางการค้าขนาดใหญ่ในที่สุด

แม้ดุลการค้าสินค้าของจีนจะพุ่งแตะเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2025 แต่ค่าเงินหยวนกลับแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับดอลลาร์เพียงประมาณ 3% เท่านั้นในปีนี้ 
ในทางตรงกันข้าม สกุลเงินหลักของประเทศอื่น ๆ ต่างแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ส่งผลให้หยวนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินของประเทศคู่ค้าของจีน

เหมียวระบุว่า ค่าเงินหยวนที่แข็งค่าขึ้น จะทำให้กำไรของอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกและมีมูลค่าเพิ่มต่ำลดลง ซึ่งจะผลักดันให้เงินทุนและแรงงานไหลไปยังภาคส่วนที่เน้นตลาดภายในประเทศมากขึ้น อีกทั้งยังจะช่วยลดดุลการค้าเกินดุล และลดความเสี่ยงของข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศ

เขายังอ้างอิงประสบการณ์ของญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ซึ่งภาคบริการและการบริโภคภายในประเทศขยายตัวอย่างมาก หลังผ่านการปฏิรูปค่าเงินหรือช่วงที่ค่าเงินแข็งค่าครั้งใหญ่ในทศวรรษ 1980–1990

สำหรับจีน เหมียวอธิบายว่า หลังจากปี 2005 ที่จีนเลิกผูกค่าเงินกับดอลลาร์ เงินหยวนได้แข็งค่าขึ้นประมาณ 30% ในช่วงสิบปีถัดมา

ผลลัพธ์คือ ดุลบัญชีเดินสะพัดซึ่งเคยสูงถึงเกือบ 10% ของจีดีพีในปี 2007 ลดลงเรื่อย ๆ จนเหลือน้อยกว่า 1% ในปี 2018

ส่วนการบริโภคของครัวเรือนก็ปรับดีขึ้น จากจุดต่ำสุดเพียง 35% ของจีดีพีในปี 2010 เพิ่มขึ้นมาเกือบ 40% ก่อนเกิดการระบาดโควิด-19 สะท้อนว่า เมื่อเงินหยวนแข็งขึ้น จีนก็พึ่งพาการส่งออกน้อยลง เศรษฐกิจในประเทศแข็งแรงขึ้น และคนจีนใช้จ่ายมากขึ้นตาม

อ้างอิง: bloomberg