เจาะลึกการประชุมเฟดครั้งสุดท้ายของปี

เจาะลึกการประชุมเฟดครั้งสุดท้ายของปี

สัปดาห์หน้าวันที่ 9-10 ธันวาคมจะมีการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ที่ต้องบอกว่าตื่นเต้นมากกว่าทุกครั้ง เพราะมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง

ทำให้แม้แต่ตลาดการเงินเองก็ตัดสินใจไม่ได้ว่าผลการประชุมจะออกมาอย่างไร ต้องจับสัญญาณจากการให้สัมภาษณ์ของกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการเงินเป็นหลัก เป็นการประชุมที่ค่อนข้างพิเศษ และอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของธนาคารกลางสหรัฐได้ นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้

ความพิเศษของการประชุมครั้งสุดท้ายของเฟดในเดือนนี้มาจากสามเรื่องหลัก เรื่องแรก ข้อมูลเศรษฐกิจ จากที่รัฐบาลสหรัฐไม่สามารถจัดสรรงบประมาณเพื่อการดำเนินงานตามปรกติของหน่วยงานรัฐ ทําให้หลายหน่วยงานรัฐต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวหรือชัตดาวน์ (Government shutdown)

ซึ่งรวมหน่วยงานที่เก็บและรายงานข้อมูลเศรษฐกิจด้วย เช่น สํานักงานสถิติแรงงาน ( Bureau of Labor Statistics) ที่เผยแพร่ข้อมูล การว่างงาน ค่าจ้าง และ เงินเฟ้อ ประจำเดือน เป็นข้อมูลสำคัญต่อการกําหนดนโยบายการเงินของเฟด 

การชัตดาวน์เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายนนาน 43 วัน ทําให้ข้อมูลการจ้างงานและเงินเฟ้อล่าสุดมีถึงเพียงเดือนกันยายน ไม่มีข้อมูลเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนสำหรับการประชุมเฟดเดือนนี้ ถือเป็นข้อจํากัดสําคัญต่อการตัดสินใจของเฟด จนมีนักวิเคราะห์บางรายพูดถึงการเลื่อนการประชุมออกไปเพื่อรอข้อมูลเหล่านี้

ข้อมูลที่มีเดือนกันยายน ชี้ว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 3 สูงกว่าเป้าร้อยละ 2 และยังไม่โน้มลง ส่วนอัตราว่างงานขยับขึ้นเป็นร้อยละ 4.4 คือ ไม่ดีขึ้นทั้งด้านเงินเฟ้อและการจ้างงาน ทำให้ความเข้าใจสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน โดยเฉพาะการจ้างงาน และเงินเฟ้อ จึงสําคัญมากต่อการตัดสินใจของเฟดเรื่องอัตราดอกเบี้ย 

สําหรับภาพเศรษฐกิจ ข้อมูลจากสมุดปกสีทราย (Beige book) ที่เฟดรวบรวมจากการสํารวจของสํานักงานเฟดทั้ง 12 แห่งทั่วสหรัฐ ล่าสุดชี้ว่าเศรษฐกิจยังไม่มีอะไรเปลี่ยน ธุรกิจไม่จ้างงาน ผู้บริโภคไม่ใช้จ่าย และโมเมนตัมเศรษฐกิจไม่เข้มแข็ง

ซึ่งในการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย เฟดคงต้องการข้อมูลที่ชัดเจนในเรื่องเหล่านี้ เพราะการตัดสินใจโดยไม่มีข้อมูลชัดเจนเป็นความเสี่ยง เหมือนขับรถในภาวะที่หมอกลงจัด ถนนหนทางไม่ชัดเจน อาจผิดพลาดได้

เรื่องที่สอง คือความเห็นที่แตกต่างในเฟดเองเรื่องอัตราดอกเบี้ยว่าควรลดหรือไม่ในการประชุมเดือนนี้ ซึ่งคราวนี้ความแตกต่างมีมากเป็นพิเศษ ความเห็นที่แตกต่างนี้มีตั้งแต่ในการประชุมคราวที่แล้วเดือนตุลาคมที่เฟดลดดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ในภาวะที่อัตราเงินเฟ้อยังสูงกว่าเป้าและยังไม่โน้มลง แต่ภาวะการจ้างงานเริ่มอ่อนแอ

เฟดอธิบายการลดดอกเบี้ยว่าเป็นการบริหารเสี่ยงที่เศรษฐกิจ อาจชะลอกว่าที่คาด และคราวนี้ก็เช่นกันซึ่งดูแย่กว่าจากทั้งเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานที่สูงขึ้น

ความเห็นของกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการเงินเฟดที่มีสิทธิโหวตเรื่องดอกเบี้ยทั้งหมด 12 คน ตอนนี้แบ่งเป็นสองกลุ่ม คืออยากลดและไม่อยากลดดอกเบี้ย โดยโจทย์หลักที่ทั้งสองกลุ่มต้องตอบคือ ภาวะการเงินในเศรษฐกิจสหรัฐขณะนี้ผ่อนคลายพอหรือยัง

กลุ่มที่อยากลดดอกเบี้ยมองว่าภาวะการเงินยังผ่อนคลายได้อีก ชี้ถึงการชะลอตัวของธุรกิจในภาคที่อยู่อาศัย การจ้างงานที่อ่อนแอ และมองอัตราเงินเฟ้อที่ยังสูงว่าเป็นเรื่องชั่วคราวจากผลกระทบของภาษีทรัมป์ ขณะที่กลุ่มที่ไม่อยากลดดอกเบี้ยเห็นว่า ภาวะการเงินขณะนี้ผ่อนคลายพอแล้ว เห็นได้จากตลาดหุ้นสหรัฐที่แรง ค่าครองชีพที่สูง

และอัตราเงินเฟ้อก็สูงกว่าเป้าซึ่งไม่ใช่เรื่องชั่วคราว เพราะอัตราเงินเฟ้อที่สูงมีในภาคการผลิตที่ไม่ถูกกระทบโดยภาษีทรัมป์เช่น บริการ กรรมการในสองกลุ่มนี้มีจํานวนเท่าๆ กัน ทําให้ยากที่จะประเมินว่าผลจะออกมาอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อขาดข้อมูลสําคัญ

ความแตกต่างในความเห็นสะท้อนนํ้าหนักที่ให้ต่างกันของแต่ละกรรมการในเป้าหมายสองเป้าหมายของนโยบายการเงินสหรัฐ คือ เงินเฟ้อและการจ้างงาน ซึ่งปัจจุบันถูกกระทบด้วยความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจ แต่ในที่สุดผลการตัดสินใจจะอยู่ที่ข้อมูล เหตุผล ไม่ใช่จำนวนมือ

และที่ทั้งสองกลุ่มห่วงเหมือนกัน คือ พลวัตที่อาจนำไปสู่ปัญหา Stagflation ในสหรัฐ คือ เศรษฐกิจชะลอพร้อมเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งแก้ยาก และประสบการณ์ในอดีตชี้ว่าการแก้ต้องมุ่งไปที่การลดเงินเฟ้อ ไม่ใช่เร่งเศรษฐกิจ

เรื่องที่สาม การแทรกแซงธนาคารกลางโดยฝ่ายการเมือง อย่างที่รู้กันประธานเฟดคนปัจจุบัน นายเจอโรม พาวเวลล์ จะหมดวาระการดำรงตำแหน่งเดือนพฤษภาคม ปีหน้า ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลังสหรัฐได้เริ่มกระบวนการสรรหาผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งแทนแล้ว และมีข่าวว่าจะสามารถประกาศชื่อได้ก่อนสิ้นปีนี้

ตัวเต็งตอนนี้คือ นายเควิน ฮาสเซ็ตต์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ เป็นผู้ใกล้ชิดและอดีตที่ปรึกษาอาวุโสประธานาธิบดีทรัมป์ เห็นด้วยกับการลดอัตราดอกเบี้ยและมองว่าเฟดที่ผ่านมาลดอัตราดอกเบี้ยช้าไป 

การแต่งตั้งนายฮาสเซ็ตต์ เป็นประธานเฟด บวกกับกรรมการที่ทรัมป์แต่งตั้งไปแล้วก่อนหน้าเช่น นายสตีเฟน มิแรน และกรรมการที่เห็นด้วยกับการลดดอกเบี้ย จะทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์สามารถควบคุมทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐและการทํางานของเฟดได้ในปีหน้า ตลาดการเงินจึงห่วงเรื่องการแทรกแซงของฝ่ายการเมืองและความเป็นอิสระของธนาคารกลาง

นายเจอโรม พาวเวลล์ ปัจจุบันเป็น กรรมการธนาคารกลางสหรัฐ ประธานคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ และประธานคณะกรรมการนโยบายการเงิน ซึ่งตำแหน่งหลังแต่งตั้งโดยคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ ดังนั้น แม้ครบวาระสี่ปีประธานเฟด แต่ก็ยังมีสถานะเป็นกรรมการธนาคารกลางตามกฎหมายซึ่งตามวาระอยู่ได้ถึงมกราคม ปี 2571

ทำให้นายพาวเวลล์ยังสามารถมีอิทธิพลในเฟดได้ต่อไป ถ้าไม่ลาออก แม้ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งประธาน เป็นประเด็นที่ตลาดการเงินหวังว่าจะช่วยลดทอนอิทธิพลของฝ่ายการเมืองในธนาคารกลางสหรัฐ

สำหรับผลการประชุมเดือนนี้ว่าเฟดจะยืนหรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของกรรมการและภาวะผู้นําของประธานเฟดคนปัจจุบันเป็นสําคัญ นี่คือประเด็นที่ต้องติดตาม

 

เจาะลึกการประชุมเฟดครั้งสุดท้ายของปี