เศรษฐกิจแบบ K-Shaped ทำไมคนรวย ยิ่งรวยขึ้น คนจนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

K-Shaped Economy คำตอบของวิกฤติความเหลื่อมล้ำ ทำไม ‘คนรวย’ ยิ่งรวยขึ้น ท่ามกลางค่าครองชีพที่พุ่งสูงสวนทางค่าจ้าง กดดัน ‘คนจน’ ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
กระแสการพูดถึง "เศรษฐกิจรูปตัว K" (K-Shaped Economy) กำลังกลับมาอีกครั้ง ชื่อนี้เริ่มเป็นที่พูดถึงครั้งแรกในปี 2020 เพื่ออธิบายถึงความแตกต่างระหว่างชาวอเมริกันที่ร่ำรวยและยากจนที่กำลังเผชิญกับการฟื้นตัวจากการระบาดใหญ่
ตัวอักษร K เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่ามีคนสองกลุ่มที่กำลังก้าวไปในทิศทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แขนขาด้านบนของ K แทนกลุ่มคนร่ำรวยหรือผู้มีรายได้สูงที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง (Rich getting Richer)
ในขณะที่แขนขาด้านล่างของ K แทนกลุ่มคนจนหรือผู้มีรายได้น้อยและปานกลางที่กำลังถูกทิ้งไว้ข้างหลังและมีสถานะทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลง (Poor falling behind)
'คนรวย' รวยเอาๆ 'คนจน' ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ปรากฏการณ์ K-Shaped เกิดขึ้นเมื่อกลุ่มคนรวยได้ประโยชน์อย่างมากจากการเติบโตของตลาดหุ้นและราคาอสังหาริมทรัพย์ซึ่งทำให้พวกเขามีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังคงใช้จ่ายได้ตามปกติ
ในทางกลับกัน กลุ่มผู้มีรายได้น้อยต้องเผชิญกับภาวะ “เงินเฟ้อ” ที่กัดกร่อนกำลังซื้อของพวกเขาอย่างหนัก ทำให้ต้องลดการใช้จ่ายลงอย่างมาก แม้ว่าตลาดแรงงานจะตึงตัว แต่การขึ้นค่าจ้างก็ไม่ทันกับราคาสินค้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสินค้าจำเป็น ตั้งแต่ค่าครองชีพไปจนถึงราคาที่อยู่อาศัย
สิ่งที่น่ากังวลคือ ข้อมูลจากสถาบัน Bank of America ย้อนหลังไปถึงปี 2016 ระบุว่าในปีนี้ การปรับขึ้นค่าจ้างของครัวเรือนที่มีรายได้สูงกลับสูงกว่าครัวเรือนที่มีรายได้น้อยและปานกลาง ส่งผลให้คนกลุ่มนี้ต้องลดการใช้จ่าย ลงอย่างมากเพื่อความอยู่รอด สัดส่วนการใช้จ่ายของกลุ่มคน 80% ล่างสุดลดลงจากเกือบ 42% ก่อนเกิดการระบาด เหลือเพียง 37% เท่านั้น
ความแตกต่างในรูปแบบการใช้จ่ายนี้ทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนโดย “คนรวย” กลุ่มบนสุดเพียง 10% เป็นกลไกขับเคลื่อนหลักถึงสองในสาม ซึ่งสร้างความกังวลว่า เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยรวมนั้นเปราะบางและอาจนำไปสู่ภาวะถดถอยได้ในที่สุด
นโยบาย 'ค่าครองชีพ' พลิกเกมเลือกตั้งสหรัฐ
ประเด็นเรื่องเงินเฟ้อและ ค่าครองชีพที่สูงกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเลือกตั้ง โดยเฉพาะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรับครั้งที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าความไม่พอใจของประชาชนเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ ได้ผลักดันให้ผู้สมัครที่มีนโยบายแก้ไขปัญหาค่าครองชีพคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งท้องถิ่นหลายแห่ง
- นครนิวยอร์ก
โซห์ราน มัมดานี นักการเมืองหนุ่มที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักและเป็นนักสังคมนิยมประชาธิปไตย กลับได้รับชัยชนะจากการหาเสียงที่เน้นไปที่การแก้ไขวิกฤติที่อยู่อาศัย และค่าดูแลเด็ก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประเด็นทางสังคมและเศรษฐกิจที่กระทบชีวิตประจำวันสามารถเอาชนะแนวคิดทุนนิยมดั้งเดิมได้ แม้แต่ในศูนย์กลางการเงินของประเทศ
- รัฐนิวเจอร์ซีย์
มิกี เชอร์ริล ชนะการลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ โดยชูนโยบายการ ควบคุมราคาไฟฟ้าที่สูงขึ้น
- รัฐเวอร์จิเนีย
อะบิเกล สแปนเบอร์เกอร์ ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าการรัฐ โดยนโยบายหลักของเธอคือการจัดการกับ ค่าครองชีพที่สูง
เศรษฐกิจแบบ K-Shaped กำลังสร้างความเสียหายให้กับทุกคน ยกเว้นคนรวย
นักเศรษฐศาสตร์มองว่าการที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนรวยที่สุดนั้นมีความ “เสี่ยงสูง” เพราะความมั่งคั่งของพวกเขาผูกติดอยู่กับตลาดหุ้นเป็นหลัก ดังนั้น แม้การปรับตัวลดลงของราคาหุ้นเพียงเล็กน้อยก็อาจส่งผลให้การใช้จ่ายของชนชั้นกลาง 20% แรกลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมที่คนส่วนใหญ่กำลังเผชิญกับความเครียดทางการเงินอยู่แล้ว
สถานการณ์นี้ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐถูกเปรียบเทียบกับ "เกมตึกถล่ม หรือหอคอยเจงก้าที่มีน้ำหนักมาก" ซึ่งหมายถึงโครงสร้างที่ดูเหมือนจะตั้งอยู่ได้แต่ก็พร้อมที่จะพังทลายได้ทุกเมื่อจากปัจจัยกระทบเพียงเล็กน้อย
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เองก็ยอมรับว่าเครื่องมือนโยบายหลักอย่างการกำหนดอัตราดอกเบี้ยอาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างนี้ได้โดยตรง และบางครั้งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อก็อาจซ้ำเติมผู้มีรายได้น้อยผ่านอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่สูงขึ้น
ในท้ายที่สุด เศรษฐกิจแบบ K-Shaped คือสัญญาณเตือนภัยถึง “ความเหลื่อมล้ำ” ที่กำลังขยายตัว จนอาจกลายเป็นปัจจัยที่บั่นทอนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว
อ้างอิง Bloomberg







